ผู้สูงอายุอย่างน้อย 110 คนถูกไล่ล่าสังหารอย่างเลือดเย็นที่สลัมแห่งหนึ่งของเฮติเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เหตุเพราะหัวหน้าแก๊งอาชญากรเชื่อว่าลูกชายป่วยเพราะโดน “ทำของใส่”
เครือข่ายปกป้องสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเฮติ (RNDDH) รายงานเมื่อวันอาทิตย์ (8 ธ.ค.) ว่า เหยื่อที่ถูกฆ่าล้วนแต่มีอายุเกินกว่า 60 ปีทั้งสิ้น
โมเนล “มิคาโน” เฟลิกซ์ ซึ่งเป็นหัวหน้าแก๊งอาชญากร วาร์ฟ เจเรมี (Wharf Jeremie) สั่งการให้ลูกน้องไปไล่ฆ่าคนแก่หลังจากที่ลูกชายของตนล้มป่วยลง โดยอ้างว่าเป็นคำแนะนำจาก “หมอผีวูดู” ที่กล่าวหาว่ามีคนแก่ในชุมชนใช้ไสยศาสตร์ทำร้ายลูกชายของเขา
สมาชิกของแก๊งนี้ถือมีดสปาร์ตาไปไล่ฆ่าคนแก่อย่างน้อย 60 รายในวันศุกร์ (6) ก่อนที่จะลงมือฆ่าอีก 50 ศพในวันเสาร์ (7)
จุดเกิดเหตุคือสลัม “ซิเต โซเลย์” (Cite Soleil) ซึ่งเป็นชุมชนแออัดที่อยู่ใกล้กับกรุงปอร์โตแปรงซ์ และถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่คนมีฐานะยากจน และมีสถิติอาชญากรรมสูงที่สุดในเฮติ
เนื่องจากแก๊งอาชญากรมีอิทธิพลอย่างสูงในการควบคุมประชาชน รวมถึงจำกัดการใช้โทรศัพท์มือถือ จึงทำให้ชาวบ้านที่นั่นแทบไม่มีช่องทางที่จะแจ้งข้อมูลว่าเกิดเหตุสังหารหมู่ขึ้น
รายงานระบุว่า ลูกชายของ เฟลิกซ์ เสียชีวิตลงเมื่อช่วงบ่ายวันเสาร์ (7)
สาธารณรัฐโดมินิกันเคยสั่งห้ามหัวหน้าแก๊งอาชญากรรายนี้เดินทางเข้าประเทศตั้งแต่ปี 2022 ขณะที่องค์การสหประชาชาติเคยประเมินเมื่อเดือน ต.ค. ว่าแก๊งของ เฟลิกซ์ น่าจะมีสมาชิกประมาณ 300 คน และมีอิทธิพลครอบคลุมไปถึงเมืองใกล้เคียงอย่างฟอร์ตดิมองช์ (Fort Dimanche) และลาซาลีน (La Saline) ด้วย
สำหรับเมืองลาซาลีนนั้นเคยเกิดเหตุการณ์สังหารหมู่พลเรือนอย่างน้อย 71 ศพในปี 2018 และมีบ้านเรือนถูกเผาทำลายไปอีกหลายร้อยหลัง
รัฐบาลเฮติซึ่งเผชิญปัญหาแก่งแย่งอำนาจกันเองล้มเหลวในการกวาดล้างแก๊งอาชญากรเหล่านี้ ทำให้พวกอาชญากรสามารถขยายอิทธิพลทั้งในและรอบๆ พื้นที่เมืองหลวง
อาชญากรรมความรุนแรงได้คร่าชีวิตชาวเฮติไปแล้วหลายพันคนในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และสถานการณ์ในระยะหลังยิ่งย่ำแย่ลงเมื่อแก๊งอาชญากรได้สยายอิทธิพลเข้าไปยังพื้นที่แห่งท้ายๆ ในกรุงปอร์โตแปรงซ์ซึ่งแต่เดิมเคยอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาล
ในปี 2022 ทางการเฮติเคยร้องขอให้นานาชาติช่วยส่งกองกำลังความมั่นคงเข้ามาสนับสนุนการปฏิบัติงานของตำรวจท้องถิ่น ทว่าภารกิจนี้ยังเน้นที่ความสมัครใจเป็นหลัก และแม้ยูเอ็นจะอนุมัติคำขอในปี 2023 ทว่าจนถึงตอนนี้ยังมีกองกำลังต่างชาติถูกส่งเข้าไปช่วยไม่มากนัก และขาดแคลนทรัพยากรอย่างมากด้วย
ผู้นำรัฐบาลเฮติเรียกร้องให้ภารกิจนี้ถูกยกระดับเป็นกองกำลังรักษาสันติภาพของยูเอ็นเพื่อให้ได้รับงบประมาณสนับสนุนมากขึ้น แต่ก็ยังไม่สำเร็จ เนื่องจากถูกมหาอำนาจอย่างจีนและรัสเซียใช้อำนาจ “วีโต” คัดค้านในคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ (UNSC)
รัฐบาลเคนยาได้ส่งตำรวจประมาณ 400 นายเข้าร่วมภารกิจสนับสนุนด้านความมั่นคงนานาชาติ (Multinational Security Support - MSS) ในเฮติ ซึ่งแต่เดิมมีเป้าหมายจะตั้งกองกำลังความมั่นคงจาก 10 ประเทศให้ได้ถึง 2,500 นาย ทว่าปัจจุบันยังคงขาดแคลนทั้งงบประมาณและกำลังคน เนื่องจากชาติอื่นๆ ไม่ให้การสนับสนุนเท่าที่ควร อีกทั้งคำสัญญาของประธานาธิบดี วิลเลียม รูโต แห่งเคนยาที่บอกว่าจะส่งตำรวจมาเพิ่มให้อีก 600 นายก็ยังเป็นเพียงคำพูดลอยๆ
ล่าสุด รอยเตอร์รายงานว่ามีตำรวจเคนยาเกือบ 20 นายในเฮติยื่นจดหมายลาออกในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากได้รับเงินเดือนล่าช้า และสภาพความเป็นอยู่ก็ย่ำแย่ด้วย
ที่มา : รอยเตอร์