เอเจนซีส์/MGRออนไลน์ - ฝรั่งเศสจัดใหญ่วันเสาร์ (7 ธ.ค.) เปิดมหาวิหารนอเทรอดาม (Cathédrale Notre-Dame de Paris) อย่างยิ่งใหญ่ สมาชิกราชวงศ์ตั้งแต่เจ้าชายวิลเลียม มกุฎราชกุมารอังกฤษ ไปจนถึงว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่หารือ 3 ฝ่ายร่วมกับประธานาธิบดียูเครน โวโลดิมีร์ เซเลนสกี โดยมีผู้นำฝรั่งเศสเป็นกาวใจร่วม และแม้แต่มหาเศรษฐีไฮเทค อีลอน มัสก์ ยังปลีกเวลามาร่วม ส่วนอเมริกาส่งสุภาพสตรีหมายเลข 1 จิล ไบเดน เข้าร่วม มีภาพว่าที่ผู้นำอเมริกันแสดงความเป็นกันเองกับสมาชิกราชวงศ์อังกฤษ ใช้มือแตะพระอังสา และนั่งหลังเอนพิงเก้าอี้โซฟาระหว่างหารือกับพระองค์สร้างความสงสัยไปทั่ว
โพลิติโกของสหรัฐฯ รายงานวานนี้ (7 ธ.ค.) ว่า กลายเป็นที่จับตาไปทั่วโลกเมื่อว่าที่ผู้นำอเมริกาคนใหม่ โดนัลด์ ทรัมป์ เดินทางเยือนต่างแดนเป็นครั้งแรกหลังชนะเลือกตั้งและออกงานร่วมกับสุภาพสตรีหมายเลข 1 ของสหรัฐฯ จิล ไบเดน ซึ่งเป็นตัวแทนของทำเนียบขาวอย่างเป็นทางการในพิธีการเปิดมหาวิหารนอเทรอดาม (Cathédrale Notre-Dame de Paris) หรืออาสนวิหารน็อทร์-ดาม อย่างยิ่งใหญ่ที่ได้รับการบูรณะอย่างงดงามหลังจากเกิดไฟไหม้ครั้งร้ายแรงเมื่อ 5 ปีก่อนหน้า
มหาวิหารแห่งนี้ใช้เงินบูรณะไปร่วม 700 ล้านยูโร จากเงินระดมทุนใหญ่เล็กที่หลั่งไหลมาจากทั่วโลกทั้งหมด 850 ล้านยูโร
โพลิติโกรายงานว่า และกลายเป็นข่าวดังไปทั่วเมื่อภาพปรากฏการถ่ายภาพร่วมระหว่างประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานุเอล มาครง ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดียูเครน โวโลดิมีร์ เซเลนสกี วันเสาร์ (7) หลังการหารือ 3 ฝ่ายก่อนพิธีเปิด
มาครงประสบความสำเร็จทางการทูตครั้งใหญ่ในการหว่านล้อมให้ทรัมป์ยอมตกลงหารือร่วมกับเซเลนสกี ถือเป็นครั้งแรกในการพบกันระหว่างกันตั้งแต่หลังชนะเลือกตั้งสหรัฐฯ เดือนที่ผ่านมา
แอกซิออส (axios) ของสหรัฐฯ รายงานว่า แหล่งข่าววงใน 2 คนเปิดเผยว่า ผู้นำฝรั่งเศสใช้เวลาไม่กี่วันก่อนหน้าพยายามหว่านล้อมทรัมป์ให้ยอมพบกับเซเลนสกีที่กรุงปารีส
หนึ่งในแหล่งข่าวกล่าวว่า ในตอนเริ่มแรกทรัมป์ลังเลสำหรับการประชุม แต่ในภายหลังยอมตกลง
ส่วนอีกคนกล่าวว่า การหารือเกิดขึ้นราว 45 นาที และเป็นการประชุมที่ดีและเป็นประโยชน์ ซึ่งการตัดสินใจในการร่วมเจรจา 3 ฝ่ายโดยที่มีมาครงเข้าร่วมเกิดขึ้นไม่นานก่อนหน้า
โพลิติโกรายงาน ทั้ง 2 ฝ่ายต่างเยินยอซึ่งกันและกันเมื่อทรัมป์เดินทางไปถึง โดยประธานาธิบดีมาครงกล่าวว่า
“การเยือนของทรัมป์ถือเป็นเกียรติอย่างสูงของประชาชนฝรั่งเศส”
ส่วนทรัมป์ตอบกลับมาว่า “มันแน่นอนที่สุดว่าดูเหมือนทั้งโลกกำลังรู้สึกตื่นเต้นในเวลานี้”
ขณะที่ประธานาธิบดียูเครน โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ที่ก่อนหน้าเปิดเกมรับทางการทูตด้วยการส่งผู้ช่วยของตัวเอง อันดรี เยอร์มาค (Andriy Yermak) ไปเยือนกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อพบทีมทรัมป์ และว่าที่รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ เจดี แวนซ์ ได้แสดงความขอบคุณประธานาธิบดีมาครงสำหรับการเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุม 3 ฝ่ายก่อนหน้าพิธีเปิดมหาวิหารนอเทรอดาม
โพลิติโกรายงานตรงกับแอกซิออสที่ว่า การประชุม 3 ฝ่ายเกิดขึ้นนานน้อยกว่า 1 ชม. และก่อนหน้าทั้งทรัมป์ และเซเลนสกีต่างแยกกันพบมาครง ก่อนที่ประธานาธิบดีฝรั่งเศสจะใช้เวลานาทีสุดท้ายจัดการประชุม 3 ฝ่ายให้เกิดขึ้น
ทั้งนี้ ในคำสุนทรพจน์พิธีเปิดวันเสาร์ (7) ประธานาธิบดีมาครงได้ย้ำในบางตอนที่เป็นความเศร้าโศกตั้งแต่กรุงโรมไปจนถึงกรุงมอสโก ซึ่งทำให้เกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่อย่างน่าอัศจรรย์ในปี 2019 เผาผลาญทำลายมหาวิหารเก่าแก่อายุ 850 ปีซึ่งเพิ่งถูกขึ้นบัญชีมรดกโลกยูเนสโกเมื่อปี 1991 และการบูรณะฟื้นฟูทำงานร่วมกันกับผู้เชี่ยวชาญนานาชาติจนกลายเป็นโปรเจกต์ใหญ่ในรอบศตวรรษ
อ้างอิงจากเดอะการ์เดียนของอังกฤษรายงานว่า ภายในงานที่มีแขกหลายพันคน รวมแขกระดับวีไอพีระดับ A-List ราว 100 คน และมีระดับประมุขประเทศและผู้นำแห่งรัฐรวม 50 คน ตั้งแต่ชั้นราชวงศ์ เจ้าชายวิลเลียม เจ้าชายแห่งเวลส์ มกุฎราชกุมารอังกฤษ และคาดว่าจะรวมถึงกษัตริย์เบลเบียม สเปน แกรนด์ดยุกอ็องรีแห่งลักเซมเบิร์ก และเจ้าผู้ครองนครกาตาร์ เป็นต้น
สำหรับหัวหน้ารัฐบาลที่เข้าร่วมนั้น ทำเนียบขาวส่งสุภาพสตรีหมายเลข 1 ของสหรัฐฯ จิล ไบเดน เข้าร่วมซึ่งได้รับการจัดที่นั่งใกล้กับทรัมป์
แขกที่ได้รับเชิญรวมนายกรัฐมนตรีอิตาลี จอร์เจีย เมโลนี ประธานาธิบดีเยอรมนี ฟรังค์-วัลเทอร์ ชไตน์ไมเออร์ และในงานสื่ออีพีเอรายงานภาพมหาเศรษฐีไฮเทคสหรัฐฯ อีลอน มัสก์ เป็นหนึ่งในแขกผู้เป็นเกียรติ
ทั้งนี้ ในงานมีภาพข่าวดังเมื่อว่าที่ผู้นำอเมริกันแสดงความเป็นกันเองกับสมาชิกราชวงศ์อังกฤษใช้มือแตะพระอังสา และนั่งหลังเอนพิงเก้าอี้โซฟาระหว่างหารือกับพระองค์ สร้างความสงสัยไปทั่วหลังก่อนหน้าประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน เคยใช้มือสัมผัสตบหลังให้กำลังใจแก่พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ระหว่างการเยือนสหราชอาณาจักรอย่างเป็นทางการมาแล้ว และถือเป็นการละเมิดกฎราชสำนัก ดิอินดีเพนเดนท์ของอังกฤษรายงานเมื่อวันที่ 11 ก.ค.ปีที่แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม สำนักพระราชวังบักกิงแฮมออกแถลงการณ์ว่า พระองค์ไม่ทรงถือสาต่อผู้นำสหรัฐฯ ในสิ่งนี้