ประธานาธิบดี ยุน ซ็อกยอล แห่งเกาหลีใต้ ออกมากล่าวขออภัยต่อประชาชนเป็นครั้งแรกในวันนี้ (7 ธ.ค.) กรณีประกาศใช้กฎอัยการศึก แต่ยัน “ไม่ลาออก” แม้ถูกกดดันอย่างหนักจากฝ่ายค้าน รวมถึงคนในพรรคตัวเอง ในช่วงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่รัฐสภาจะมีการโหวตร่างกฎหมายถอดถอน ยุน ออกจากเก้าอี้ผู้นำแดนโสมขาว
ยุน ยืนยันว่าไม่คิดที่จะหลีกหนีความรับผิดชอบทางกฎหมายและทางการเมืองจากการตัดสินใจใช้กฎอัยการศึกในเกาหลีใต้เป็นครั้งแรกในรอบ 44 ปี แต่ก็อ้างว่าที่ทำลงไปเพราะรู้สึก “เข้าตาจน”
ยุน ปรากฏตัวต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ยอมยกเลิกกฎอัยการศึกเมื่อช่วงกลางดึกของวันพุธ (4) หรือเพียง 6 ชั่วโมงหลังประกาศใช้ เนื่องจากสมาชิกรัฐสภาได้ฝ่าแนวกั้นของตำรวจและทหารกระทั่งสามารถโหวตคว่ำกฎอัยการศึกได้สำเร็จด้วยคะแนนเสียง 190 จากทั้งหมด 300 เสียง
“ผมรู้สึกเสียใจ และอยากขออภัยจากใจจริงต่อประชาชนทุกคนที่รู้สึกตกใจกับเหตุการณ์นี้” ยุน ระบุในการแถลงผ่านสื่อโทรทัศน์ พร้อมสัญญาว่าจะไม่มีการประกาศกฎอัยการศึกซ้ำอย่างแน่นอน
“ผมขอให้เป็นหน้าที่ของพรรคที่จะใช้มาตรการต่างๆ เพื่อผ่อนคลายสถานการณ์ทางการเมืองในอนาคต ซึ่งรวมถึงเรื่องการดำรงตำแหน่งของผมด้วย”
ฮัน ดงฮุน หัวหน้าพรรคพลังประชาชน (PPP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล กล่าวภายหลังจากนั้นว่า ประธานาธิบดีไม่อยู่ในสถานะที่จะปฏิบัติหน้าที่ได้อีก และการลาออกคงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ก่อนหน้านั้น ฮัน ได้ให้สัมภาษณ์ในวันศุกร์ (6) ว่า ยุน ซ็อกยอล เป็นอันตรายต่อบ้านเมืองและจำเป็นต้องถูกถอดออกจากอำนาจ ซึ่งถือเป็นการเพิ่มแรงบีบต่อผู้นำโสมขาว แม้ว่าสมาชิกพรรค PPP บางคนจะยังคงแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับกระบวนการถอดถอน ยุน ก็ตาม
ทั้งนี้ สมาชิกรัฐสภาเกาหลีใต้มีกำหนดโหวตญัตติถอดถอนประธานาธิบดีที่ฝ่ายค้านเสนอในเวลา 17.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น (15.00 น. ตามเวลาในไทย) ของวันนี้ (7) ซึ่งหากญัตตินี้ไม่ผ่าน ก็คาดว่าจะถูกนำเข้าสู่สภาอีกครั้งในวันพุธหน้า (11)
กระบวนการโหวตถอดถอนประธานาธิบดีจะต้องได้เสียงสนับสนุนเกิน 2 ใน 3 จากจำนวนสมาชิกรัฐสภา 300 คน ซึ่งปัจจุบันพรรคของ ยุน มี ส.ส.อยู่ 108 คน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมี ส.ส.ฟากรัฐบาลอย่างน้อย 8 คนที่ยอม “แปรพักตร์” เพื่อให้ร่างกฎหมายนี้ผ่านได้
หากสภาโหวตถอดถอนแล้ว อำนาจบริหารของประธานาธิบดีจะถูกระงับชั่วคราวจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำพิพากษารับรองหรือคัดค้านการถอดถอน โดยนายกรัฐมนตรีจะปฏิบัติหน้าที่รักษาการแทนในช่วงเวลานี้
ที่มา : รอยเตอร์