xs
xsm
sm
md
lg

ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ พิพากษายืน กม.บีบ TikTok ขายกิจการ สถานทูตจีนจวก 'ขโมยกันหน้าด้านๆ'

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ มีคำพิพากษายืนตามกฎหมายที่บังคับให้บริษัทไบต์แดนซ์ (ByteDance) ของจีนต้องขายกิจการ TikTok ในสหรัฐฯ ภายในต้นปีหน้า

คำสั่งศาลอุทธรณ์วานนี้ (6 ธ.ค.) ถือเป็นชัยชนะครั้งสำคัญสำหรับกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ และบรรดาผู้ที่ต่อต้าน TikTok ขณะเดียวกัน ก็เป็นความพ่ายแพ้สำหรับไบต์แดนซ์ ซึ่งมีโอกาสสูงมากที่จะถูกสหรัฐฯ สั่งแบนแอปแชร์วิดีโอสั้นที่มีผู้ใช้งานในอเมริกามากถึง 170 ล้านคน

ทั้งนี้ TikTok ยังมีแผนที่จะยื่นอุทธรณ์ต่อไปยังศาลสูงสุด

ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ ให้เหตุผลในการพิพากษายืนว่า กฎหมายบังคับขายกิจการ TikTok เป็นผลมาจากการทำงานร่วมกันระหว่างสมาชิกสภาคองเกรสทั้งฝ่ายเดโมแครตและรีพับลิกัน รวมถึงประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2 คน “และยังเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามต่อต้านภัยคุกคามของชาติอันเกิดจากสาธารณรัฐประชาชนจีน (PRC) ที่มีหลักฐานน่าเชื่อถือ”

กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ อ้างว่า หาก TikTok ยังอยู่ในอำนาจควบคุมของจีนต่อไปก็จะเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อสหรัฐฯ เนื่องจากสามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของคนอเมริกันจำนวนมาก และยังอ้างด้วยว่ารัฐบาลจีนสามารถกำกับควบคุมข้อมูลที่คนอเมริกันเสพผ่าน TikTok อย่างเงียบๆ ได้

เมอร์ริค การ์แลนด์ รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ชี้ว่าคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ “ถือเป็นขั้นตอนสำคัญในการขัดขวางไม่ให้รัฐบาลจีนใช้ TikTok เป็นอาวุธ”

ด้านสถานทูตจีนประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ออกมาวิจารณ์กฎหมายฉบับนี้ว่าเป็น “การขโมยเชิงพาณิชย์แบบหน้าด้านๆ” และเตือนสหรัฐฯ ว่า “ควรจัดการเรื่องนี้อย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้กระทบต่อความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน และการพัฒนาความสัมพันธ์ระดับทวิภาคี”

คำพิพากษานี้มีขึ้นท่ามกลางข้อพิพาทการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่เดือดพล่านขึ้นมาอีก หลังจากประธานาธิบดี โจ ไบเดน ออกมาตรการจำกัดส่งออกชิปและเครื่องมือการผลิตไปยังจีนระลอกที่ 3 ซึ่งทำให้ปักกิ่งโต้กลับอย่างแรงด้วยการห้ามส่งออกแร่ธาตุหายากอย่างแกลเลียม เจอร์เมเนียม และแอนติโมนี (พลวง) ให้สหรัฐอเมริกา

คณะผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ 3 คน ซึ่งได้แก่ ศรี ศรีนิวาสัน เนโอมี ราว และดักลาส กินสเบิร์ก ปฏิเสธการยื่นคัดค้านของ TikTok และกลุ่มผู้ใช้ TikTok ต่อกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งให้เวลาไบต์แดนซ์ในการขายกิจการ TikTok ภายในวันที่ 19 ม.ค. ปี 2025 ไม่เช่นนั้นแอปจะถูกแบนในสหรัฐฯ

ที่มา : รอยเตอร์
กำลังโหลดความคิดเห็น