รัฐบาลปารากวัยเพิกถอนวีซ่าและสั่งให้นักการทูตระดับล่างของจีนคนหนึ่งเดินทางออกนอกประเทศ หลังพบว่าทูตรายนี้พยายามพูดจาโน้มน้าวสมาชิกรัฐสภาของปารากวัยให้ทบทวนความสัมพันธ์กับไต้หวัน
กระทรวงการต่างประเทศปารากวัยแถลงวานนี้ (5 ธ.ค.) ว่า สวี เหว่ย (徐伟 Xu Wei) “ก้าวก่ายกิจการภายในประเทศ” ขณะที่สถานทูตไต้หวันประจำปารากวัยก็กล่าวหาเจ้าหน้าที่จีนผู้นี้ว่าพยายาม “แทรกซึม” เพื่อบ่อนทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างปารากวัยกับไต้หวัน
ทางกระทรวงไม่ได้ระบุชัดเจนว่า สวี กระทำการแทรกแซงอย่างไร โดยระบุแต่เพียงว่า เขาละเมิดเงื่อนไขวีซ่าระหว่างมาเยือนปารากวัยพร้อมกับคณะผู้แทนจีนเพื่อร่วมการประชุมขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) และจะต้องเดินทางออกจากปารากวัยภายใน 24 ชั่วโมง
รอยเตอร์อ้างถึงคลิปเสียงที่ สวี กล่าวต่อรัฐสภาปารากวัย โดยเจ้าหน้าที่จีนรายนี้เรียกร้องให้รัฐบาลปารากวัยหันมาผูกสัมพันธ์กับจีนแผ่นดินใหญ่แทนไต้หวัน และย้ำว่าทางเลือกนี้จะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของปารากวัยซึ่งเป็นชาติผู้ผลิตถั่วเหลืองรายใหญ่
คำพูดดังกล่าวของ สวี มีขึ้นหลังจากที่เขาได้ไปพบกับ ส.ส.ฝ่ายค้าน 2 คนที่มีแนวคิดเอียงข้างฝ่ายจีนเช่นกัน
“การมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนจะทำให้ท่านได้รับผลประโยชน์มากขึ้น และประหยัดต้นทุนต่างๆ มากขึ้น” สวี ระบุในคลิปเสียง
“จุดมุ่งหมายในการมาเยือนของผมครั้งนี้ก็เพื่อส่งเสริมและเร่งกระบวนการอุดช่องโหว่ในแผนที่ของปารากวัย ซึ่งช่องโหว่ที่ใหญ่โตมากนั้นมีชื่อว่า สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน)”
สวี ย้ำว่า ปารากวัยจำเป็นต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง “เพราะไม่มีคำว่า ‘และ’ ระหว่างจีนกับไต้หวัน มีเพียงจีน ‘หรือ’ ไต้หวันเท่านั้น”
กระทรวงการต่างประเทศจีนยังไม่ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับประเด็นนี้
ปารากวัยเป็นชาติที่สนับสนุนไต้หวันในทางการทูตมานาน ซึ่งทำให้ผลผลิตธัญพืชของประเทศไม่สามารถส่งออกไปจีนได้ และปัจจุบันปารากวัยก็เป็นชาติสุดท้ายในละตินอเมริกาที่ยังคงรักษาความสัมพันธ์กับไต้หวันอยู่
ที่มา : รอยเตอร์