องค์การนิรโทษกรรมสากลเผยรายงานความยาว 300 หน้า กล่าวหาอิสราเอลจงใจฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ในกาซาตั้งแต่เริ่มต้นสงครามเมื่อปีที่แล้ว พร้อมเรียกร้องประเทศต่างๆ หยุดเสแสร้งว่า ไม่มีอำนาจในการทำให้อิสราเอลยุติการยึดครองและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซา ด้านอิสราเอลโต้ องค์การนิรโทษกรรมแต่งรายงานปลอม ยันการบุกจู่โจมของฮามาสเมื่อวันที่ 7 ต.ค. ปีที่แล้วต่างหากที่เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
องค์การด้านสิทธิมนุษยชนชื่อดังที่มีฐานการดำเนินงานอยู่ในลอนดอนแห่งนี้แถลงเมื่อวันพุธ (4 ธ.ค.) ว่า รายงานที่นำออกเผยแพร่ฉบับนี้ จัดทำขึ้นโดยอิงอยู่กับการวิเคราะห์พวกคำแถลงของรัฐบาลและนายทหารของอิสราเอล ที่มีลักษณะลดทอนความเป็นมนุษย์ของชาวปาเลสไตน์ รวมทั้งมีการระบุถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ นอกจากนั้น ยังมีภาพถ่ายดาวเทียมที่เป็นหลักฐานแสดงถึงการทำลายล้างของกองทัพอิสราเอล ตลอดจนมีการส่งเจ้าหน้าที่รลงพื้นที่และทำรายงานภาคสนามที่เป็นการซักถามจากพลเรือนในกาซา
แอกเนส คัลลามาร์ด ผู้อำนวยการองค์การนิรโทษกรรมสากล แถลงที่กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ว่า เดือนแล้วเดือนเล่าที่อิสราเอลปฏิบัติต่อชาวปาเลสไตน์ในกาซาราวกับไม่ใช่มนุษย์ และไม่คู่ควรต่อสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ซึ่งสะท้อนเจตนารมณ์ในการทำลายชาวปาเลสไตน์เชิงกายภาพ
ทั้งนี้ นักรบฮามาสบุกจู่โจมเข้าไปทางใต้ของอิสราเอลแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเมื่อวันที่ 7 ต.ค.2023 และสังหารเหยื่อ 1,208 คน ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน รวมทั้งจับตัวประกันราว 250 คนกลับไปคุมขังในกาซา อันเป็นชนวนเหตุให้อิสราเอลตอบโต้ด้วยปฏิบัติการทางทหารเข้าสู่กาซาจนถึงขณะนี้ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขกาซาระบุว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 44,532 คน ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน และบาดเจ็บอีกจำนวนมาก
คัลลามาร์ดสำทับว่า จริงอยู่ที่อิสราเอลมีวัตถุประสงค์ทางทหาร แต่วัตถุประสงค์ดังกล่าวไม่อาจลบล้างความเป็นไปได้ในการจงใจฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ พร้อมระบุว่า รายงานที่จัดทำขึ้นนี้อิงอยู่กับเกณฑ์ที่ระบุเอาไว้ในอนุสัญญาว่าด้วยการป้องกันและการลงโทษอาชญากรรมการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของสหประชาชาติ ปี 1948 ที่จัดทำขึ้นภายหลังการสังหารหมู่ชาวยิวของนาซี
อนุสัญญาดังกล่าวระบุว่า การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หมายถึงการกระทำที่มีเจตนาในการทำลายล้างเชื้อชาติ ชาติพันธุ์ หรือกลุ่มทางศาสนาทั้งหมดหรือบางส่วน
แม้อิสราเอลยืนกรานมาตลอดว่า ไม่ได้ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แต่ต้องการกวาดล้างฮามาส พร้อมกล่าวหากลุ่มติดอาวุธกลุ่มนี้ใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์ ทว่า รายงานขององค์การนิรโทษกรรมชี้ว่า กองทัพอิสราเอลโจมตีโดยตรงต่อพลเรือนและโครงสร้างพื้นฐานด้านพลเรือนในบริเวณที่ไม่มีนักรบฮามาส หรือไม่มีเป้าหมายทางทหารอื่นใดหลายครั้ง นอกจากนั้นยังใช้ระเบิดที่มีอำนาจทำลายล้างสูงเพื่อทำลายล้างเขตที่อยู่อาศัยที่มีผู้คนแออัด ปิดกั้นการจัดส่งความช่วยเหลือ และทำให้พลเมือง 90% จากทั้งหมด 2.4 ล้านคนในกาซาต้องทิ้งถิ่นฐานบ้านเรือน
หลังเกิดเหตุฮามาสเข้าโจมตีในภาคใต้อิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ต.ค.ไม่กี่วัน อิสราเอลสั่งปิดล้อมดินแดนกาซาเบ็ดเสร็จ “ไม่ให้มีไฟฟ้า น้ำ และแก๊สใช้” และจำกัดการจัดส่งเสบียงและสิ่งของจำเป็นนับจากนั้นเป็นต้นมา
รายงานฉบับนี้ที่องค์การนิรโทษกรรมระบุว่า ใช้เวลาวิเคราะห์นานถึง 6 เดือน กล่าวอีกว่า ชาวปาเลสไตน์ต้องขาดแคลนอาหาร หิวโหย เจ็บป่วย และเสี่ยงต่อการเสียชีวิตไว้อย่างช้าๆ ตามที่อิสราเอลวางแผน
ในรายงานยังอ้างอิงถึงคำสั่งของเจ้าหน้าที่และทหารอิสราเอล ในการทำลายล้าง การเผา หรือ “การกำจัด” ในกาซา ซึ่งตอกย้ำให้เห็นไม่เฉพาะแค่การได้รับการยกเว้นโทษอย่างเป็นระบบเท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมพฤติกรรมดังกล่าวอีกด้วย
คัลลามาร์ดระบุว่า ประเทศต่างๆ ต้องหยุดเสแสร้งว่า ไม่มีอำนาจในการทำให้อิสราเอลยุติการยึดครองและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซา นอกจากนั้น ประเทศที่จัดหาอาวุธให้อิสราเอลยังถือว่าละเมิดหน้าที่ในการป้องกันการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ภายใต้อนุสัญญาของยูเอ็น และเสี่ยงเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด
องค์การนิรโทษกรรมทิ้งท้ายว่า รายงานนี้ควรเป็นสัญญาณเตือนสำหรับนานาชาติให้ร่วมกันหยุดยั้งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทันที พร้อมเรียกร้องให้อัยการของศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี) ที่ก่อนหน้านี้ออกหมายจับนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู และอดีตรัฐมนตรีกลาโหมของอิสราเอลข้อหาก่ออาชญากรรมสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาตินั้น เปิดการสอบสวนกรณีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ต่ออิสราเอลด้วย
ด้านกระทรวงการต่างประเทศอิสราเอลได้ออกมาแถลงตอบโต้ในวันพฤหัสบดี (5) ว่า รายงานขององค์การนิรโทษกรรมอิงกับคำโกหกและเป็นเท็จทั้งหมด พร้อมอ้างว่า อิสราเอลเพียงแค่ป้องกันตัวเองตามกฎหมายสากล และชี้ว่า การบุกจู่โจมของนักรบฮามาสเมื่อวันที่ 7 ต.ค.ปีที่แล้วต่างหากที่เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
(ที่มา : เอเอฟพี/รอยเตอร์)