ประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ประกาศวานนี้ (1 ธ.ค.) ว่าตนได้ลงนามคำสั่ง “อภัยโทษ” ให้ฮันเตอร์ ไบเดน บุตรชายคนรอง ในคดีที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืนและการเลี่ยงภาษี ซึ่งถือเป็นการกลับคำพูดที่เคยสัญญาไว้ว่าจะไม่แทรกแซงกระบวนการทางกฎหมายเพื่อช่วยเหลือลูกตัวเอง
“วันนี้ผมได้ลงนามคำสั่งอภัยโทษให้ ฮันเตอร์ ลูกชายของผม ตั้งแต่วันแรกที่ผมเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ผมพูดว่าผมจะไม่แทรกแซงกระบวนการตัดสินของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ และผมก็รักษาสัญญาเรื่อยมา ทั้งที่ต้องทนดูลูกชายผมถูกเลือกปฏิบัติ ถูกดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรม” ไบเดน ระบุในคำแถลงก่อนจะออกเดินทางเยือนแอฟริกา
ก่อนหน้านี้ ทำเนียบขาวเคยแถลงย้ำหลายครั้งว่า ไบเดน จะไม่สั่งอภัยโทษหรือลดโทษให้ ฮันเตอร์ ซึ่งเคยมีประวัติเสพยาเสพติดและอยู่ระหว่างการบำบัดฟื้นฟู และตกเป็นเป้าหมายเล่นงานโดยพรรครีพับลิกันรวมถึงว่าที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์
“คนที่รู้จักใช้เหตุผลพิจารณาข้อเท็จจริงในคดีของ ฮันเตอร์ คงไม่อาจสรุปเป็นอื่นไปได้ นอกจากเสียว่าเขาถูกเลือกปฏิบัติเพราะว่าเป็นลูกชายของผม” ผู้นำสหรัฐฯ วัย 81 ปี กล่าว
เนื้อหาในคำสั่งอภัยโทษระบุว่า ประธานาธิบดี ไบเดน ได้อภัยโทษ “อย่างสมบูรณ์แบบและปราศจากเงื่อนไข” ให้ ฮันเตอร์ ไบเดน ในทุกคดีความที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 1 ม.ค. ปี 2014 จนถึงวันที่ 1 ธ.ค. ปี 2024
ทั้งนี้ ศาลสหรัฐฯ มีกำหนดอ่านคำพิพากษาลงโทษ ฮันเตอร์ ไบเดน ในวันที่ 16 ธ.ค. ที่จะถึงนี้ ในความผิดฐานให้การเท็จและความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน หลังจากเมื่อเดือน ก.ย. เขาได้ยอมรับสารภาพความผิดฐานไม่จ่ายภาษี 1.4 ล้านดอลลาร์ และนำเงินไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือยกับยาเสพติด โสเภณี และสินค้าหรูหราราคาแพง
“ผมขอยอมรับสารภาพและแสดงความรับผิดชอบต่อความผิดพลาดของผมในช่วงเวลาที่ผมติดยาอย่างหนัก ความผิดที่คนบางกลุ่มฉวยโอกาสใช้เป็นเครื่องมือสร้างความอับอายให้แก่ผมและครอบครัวของผมเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง” ฮันเตอร์ ไบเดน ระบุในคำแถลงเมื่อวันอาทิตย์ (1) พร้อมระบุว่าตนเองเลือกที่จะนิ่งเงียบมาเป็นเวลากว่า 5 ปีแล้ว
“ในช่วงที่ผมติดยา ผมได้ใช้โอกาสและอภิสิทธิ์ต่างๆ ไปในทางที่ผิด ผมไม่ถือว่าการได้รับอภัยโทษในครั้งนี้เป็นสิ่งที่ผมต้องได้อยู่แล้ว และจะขออุทิศชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อช่วยเหลือคนอื่นๆ ที่ยังคงเจ็บป่วยและทุกข์ทรมาน”
การตัดสินใจของ ไบเดน นำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากคนในพรรครีพับลิกันทันที
“การอภัยโทษที่ โจ ให้ ฮันเตอร์ นั้นครอบคลุมถึงกลุ่ม J-6 Hostages ที่ต้องติดคุกมานานหลายปีแล้วด้วยไหม? ช่างเป็นการล่วงละเมิดและความผิดพลาดในกระบวนการยุติธรรม (miscarriage of justice)” ทรัมป์ โพสต์ข้อความผ่าน Truth Social โดยอ้างถึงกลุ่มผู้สนับสนุนตนเองที่ถูกตัดสินจำคุกจากการบุกเข้าไปก่อจลาจลที่อาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค. ปี 2021
“โจ ไบเดน โกหกตั้งแต่ต้นจนจบเกี่ยวกับเรื่องที่ครอบครัวเขาใช้อิทธิพลไปในทางทุจริต” เจมส์ โคเมอร์ ส.ส.รีพับลิกันซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบและกำกับดูแล (Oversight and Accountability) ของสภาผู้แทนราษฎร ระบุ
ไบเดน ซึ่งสูญเสียบุตรชายคนโต “โบ” (Beau) ไปด้วยโรคมะเร็งสมองเมื่อปี 2015 ระบุว่าพวกศัตรูทางการเมืองพยายามใช้กฎหมายแบบเลือกปฏิบัติเพื่อเล่นงาน ฮันเตอร์ พร้อมอ้างว่าที่ผ่านมาแทบไม่เคยมีใครถูกดำเนินคดีจากการกรอกแบบฟอร์มสมัครซื้อปืน และบุคคลอื่นๆ ที่จ่ายภาษีล่าช้าเนื่องจากติดยาเสพติด แต่มีการเสียภาษีย้อนหลังพร้อมชำระดอกเบี้ยและค่าปรับเหมือนที่บุตรชายของเขาทำ ก็ไม่ได้ถูกดำเนินคดีอาญาแต่อย่างใด
“มันชัดเจนว่า ฮันเตอร์ ถูกปฏิบัติไม่เหมือนกับคนอื่น ข้อกล่าวหาในคดีของเขาเกิดขึ้นหลังจากที่ศัตรูทางการเมืองของผมในสภาคองเกรสใช้มันเป็นเครื่องมือโจมตีผม และคัดค้านผลการเลือกตั้งที่ผมเป็นผู้ชนะ” ไบเดน กล่าว
“การที่พวกเขาพยายามเล่นงาน ฮันเตอร์ ก็เท่ากับเล่นงานผมด้วย และไม่มีเหตุผลที่พวกเขาจะหยุดเพียงเท่านี้ ผมว่ามันต้องพอได้แล้ว”
เมื่อเดือน ส.ค. ปี 2023 ทีมทนายของ ฮันเตอร์ ไบเดน ระบุว่าอัยการได้เพิกถอนข้อตกลงรับสารภาพที่จะช่วยยุติคดีอาวุธปืนและภาษีของฮันเตอร์ ซึ่ง ไบเดน เองก็ระบุในคำแถลงเมื่อวันอาทิตย์ (1) ว่า ข้อตกลงรับสารภาพดังกล่าว “จะเป็นทางออกที่ยุติธรรมและมีเหตุผลสำหรับคดีความของ ฮันเตอร์”
ไบเดน ระบุว่า เขาตัดสินใจเซ็นคำสั่งอภัยโทษให้บุตรชายเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดย ไบเดน และภรรยา จิลล์ รวมถึงสมาชิกในครอบครัวได้ใช้เวลาในช่วงเทศกาลขอบคุณพระเจ้าที่เกาะแนนทัคเกต รัฐแมสซาชูเซตส์ และเดินทางกลับกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ในค่ำวันเสาร์ (30 พ.ย.)
“นี่คือความจริง -- ผมเชื่อในกระบวนการยุติธรรม แต่ในขณะที่ผมต่อสู้กับสิ่งนี้ ผมก็เชื่อว่าการเมืองได้เข้าไปมีอิทธิพลกับมัน และนำไปสู่ความผิดพลาดในกระบวนการยุติธรรม และในขณะที่ผมตัดสินใจเรื่องนี้เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องยืดเวลาให้ล่าช้าออกไปอีกแล้ว” ไบเดน กล่าว
“ผมหวังว่าคนอเมริกันคงจะเข้าใจว่า ทำไมพ่อคนหนึ่ง และประธานาธิบดีคนหนึ่ง ถึงต้องตัดสินใจเช่นนี้”
ที่มา : รอยเตอร์