โดนัลด์ ทรัมป์ เสนอชื่อ เจมีสัน กรีเออร์ รับหน้าที่เป็น ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ในคณะบริหารชุดใหม่ของเขา หลังโชว์ผลงานรีดภาษีศุลกากรจีนในสมัย ทรัมป์ 1.0 ด้านสื่อแดนมังกรเตือนมาตรการภาษีของว่าที่ประมุขทำเนียบขาวจะนำไปสู่สงครามการค้าที่ทำลายล้างทั้งอเมริกาและจีน
วันอังคารที่ผ่านมา (26 พ.ย.) ทรัมป์ประกาศเลือก กรีเออร์ รับหน้าที่เป็น ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ คนต่อไป รวมทั้งแต่งตั้ง เควิน แฮสเส็ตต์ เป็นประธานของสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ไม่ต้องได้รับการรับรองจากวุฒิสภา และทรัมป์ระบุว่า จะมีบทบาทสำคัญในการช่วยคนอเมริกันฟื้นตัวจากปัญหาเงินเฟ้อซึ่งเขากล่าวโทษว่ามีต้นตอมาจากคณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่กำลังจะพ้นตำแหน่ง
สำหรับกรีเออร์นั้น ทรัมป์ยกย่องว่า มีบทบาทสำคัญในการเรียกเก็บภาษีศุลกากรจีนและประเทศอื่นๆ ที่มีแนวทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม ตลอดจนในการทบทวนการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีกับเม็กซิโกและแคนาดา
ทั้งนี้ กรีเออร์ วัย 44 ปี เป็นหัวหน้าคณะทำงานของโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ในคณะบริหารชุดก่อนของทรัมป์ระหว่างปี 2017-2021 ซึ่งมีชื่อเสียงในฐานะเป็นผู้ดำเนินการเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มจากสินค้าจีนมูลค่า 370,000 ล้านดอลลาร์ และทำให้วอชิงตันและปักกิ่งเข้าสู่สงครามการค้าครั้งใหญ่
กรีเออร์ยังมีส่วนร่วมกับไลต์ไฮเซอร์ในการเจรจากับจีนจนกระทั่งมีการลงนามข้อตกลงการค้า “เฟส 1” เมื่อเดือนมกราคม 2020 ซึ่งกำหนดให้จีนซื้อสินค้าจากอเมริการวมมูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์ภายใน 2 ปี แม้เป้าหมายดังกล่าวไม่บรรลุผล ส่วนหนึ่งเนื่องจากการแพร่ระบาดใหญ่ของโควิด-19 ก็ตาม
กรีเออร์ลาออกจากสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคม 2020 และไปทำงานให้กับบริษัทกฎหมาย คิง แอนด์ สปาลดิ้ง ในวอชิงตัน ดี.ซี. จนถึงขณะนี้ โดยลูกความส่วนใหญ่เป็นผู้ผลิตในประเทศที่มีคดีเกี่ยวกับการเยียวยาทางการค้า การปฏิบัติตามกฎข้อบังคับด้านการส่งออกและนำเข้า และความปลอดภัยในการลงทุน
ว่าที่ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ คนใหม่มีมุมมองเกี่ยวกับจีนสอดคล้องกับทรัมป์ รวมถึงความจำเป็นในการใช้มาตรการแข็งกร้าวกับจีนเพื่อต่อต้านสิ่งที่พวกเขาบอกว่าป็นความพยายามของปักกิ่งในการครอบงำอุตสาหกรรมโลก และปกป้องตำแหน่งงานและอุตสาหกรรมของอเมริกา
ระหว่างแถลงต่อคณะกรรมาธิการทบทวนด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงอเมริกา-จีนเมื่อเดือนพฤษภาคม กรีเออร์สนับสนุนการใช้ประโยชน์จากการขึ้นภาษีศุลกากรเพื่อยกระดับการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรมระหว่างสองประเทศ รวมทั้งส่งเสริมการควบคุมการส่งออกเพื่อปกป้องเทคโนโลยีละเอียดอ่อนของอเมริกา
เขายกย่องมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรสินค้าจีนของไบเดนที่มุ่งปกป้องอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ และเซมิคอนดักเตอร์ แต่เห็นว่า จำเป็นต้องใช้มาตรการที่รุนแรงกว่านั้น
กรีเออร์บอกว่า กังวลอย่างมากไม่เฉพาะเรื่องที่จีนพยายามครอบงำตลาดโลก เทคโนโลยีสำคัญที่สุด และสินค้าอุตสาหกรรมขั้นสูงบางอย่าง แต่ยังรวมถึงการที่ปักกิ่งใช้การลงทุนทางการค้าเพื่อสนับสนุนรัฐวิสาหกิจ กองทัพ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของตนเองที่ดูเหมือนเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับความขัดแย้งกับอเมริกาและประเทศอื่นๆ
สำหรับตัวทรัมป์เอง แม้ยังไม่ทันเข้ารับตำแหน่ง แต่เมื่อวันจันทร์ (25) เขาก็ข่มขู่เปิดสงครามการค้ากับ 3 ประเทศคู่ค้าสำคัญที่สุดของอเมริกา ได้แก่ จีน เม็กซิโก และแคนาดา ด้วยการประกาศว่าตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง เขาจะใช้แผนเพิ่มเก็บภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดา 25% และ 10% สำหรับสินค้าจีนเพิ่มเติมจาก 60% ที่ประกาศไปก่อนหน้านี้ เว้นแต่จีนจะควบคุมการไหลเวียนของเฟนทานิลซึ่งเป็นยาแก้ปวดที่มีสารโอปิออยด์อันตรายซึ่งทำให้เกิดการเสพติดและมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากในอเมริกาจากการกินยาชนิดนี้เกินขนาด ส่วนเม็กซิโกกับแคนาดา ถูกตั้งเงื่อนไขต้องมีมาตรการจริงจังในการกวาดล้างเฟนทานิล และสกัดกั้นพวกผู้อพยพที่หลั่งไหลข้ามแดนมายังสหรัฐฯ
เกี่ยวกับเรื่องนี้ สื่อของทางการจีน ได้แก่ หนังสือพิมพ์ไชน่า เดลี่ และโกลบัล ไทมส์ ซึ่งต่างเป็นปากเสียงอย่างเป็นทางการของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้เผยแพร่บทบรรณาธิการในวันอังคาร (26) เตือนว่า อเมริกาไม่ควรใช้จีนเป็นแพะรับบาปวิกฤตเฟนทานิล แต่ควรตระหนักถึงความปรารถนาดีของจีนในการร่วมมือปราบปรามยาเสพติด
บทบรรณาธิการยังเตือนว่า หากอเมริกายังคงนำปัญหาเศรษฐกิจและการค้ามาเป็นประเด็นทางการเมืองด้วยการใช้มาตรการภาษีศุลกากรเป็นอาวุธ จะเป็นการดึงอเมริกาและจีน ซึ่งเป็นสองประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลก เข้าสู่สงครามการค้าที่จะไม่มีผู้ชนะ แต่ทำลายล้างทั้งสองฝ่าย
โกลบัล ไทมส์ ยังรายงานโดยอ้างอิงคำพูดของ เกา หลิงอวิ๋น นักวิเคราะห์จากบัณฑิตยสภาทางสังคมศาสตร์ของจีน ที่กล่าวว่า จีนมีแม่แบบในการรับมือกับนโยบายภาษีศุลกากรของอเมริกาอยู่แล้ว ขณะที่มีรายงานว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าวกับลี เซียนลุง อดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ระหว่างพบกันที่ปักกิ่งวันอังคารว่า เศรษฐกิจจีนจะเติบโตและพัฒนาต่อไปในระยะยาว
กระนั้น นักเศรษฐศาสตร์หลายคนเริ่มลดการคาดการณ์เป้าหมายการเติบโตของเศรษฐกิจจีนมูลค่า 19 ล้านล้านดอลลาร์ ทั้งสำหรับปีหน้าและปี 2026 โดยอิงกับการคาดการณ์ว่า ทรัมป์จะรีดภาษีสินค้าจีนเพิ่มตามที่ประกาศระหว่างหาเสียง ขณะเดียวกันก็เตือนคนอเมริกันเองให้เตรียมพร้อมรับค่าครองชีพที่จะถีบตัวสูงขึ้น จากมาตรการดังกล่าวของทรัมป์
ตัวอย่างเช่น เอสแอนด์พี โกลบัล เรทติ้งส์ที่คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจีนปี 2025 และ 2026 จะขยายตัวเพียง 4.1% และ 3.8% ตามลำดับ
(ที่มา: รอยเตอร์/เอเอฟพี)