ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ประกาศกร้าวในวันศุกร์ (22 พ.ย.) ว่า คลังแสงรัสเซียมีขีปนาวุธทรงอำนาจรุ่นใหม่เป็นระบบทิ้งตัวมีหลายหัวรบ ที่ชื่อว่า “โอเรชนิก” พร้อมที่จะใช้ทดสอบในการสู้รบ และได้ตัดสินใจเริ่มการผลิตเป็นจำนวนมากอีกด้วย
คำพูดของปูตินดังกล่าวมีขึ้น 1 วันหลังจากแดนหมีขาวนำขีปนาวุธระดับบิ๊กไซซ์นี้มาใช้ในการสู้รบเป็นครั้งแรก ด้วยการยิงใส่เมืองใหญ่ทางตอนกลางของยูเครน
ระหว่างพบปะหารือที่ทำเนียบเครมลิน กับคณะผู้นำของกระทรวงกลาโหมรัสเซียและพวกตัวแทนของอุตสาหกรรมกลาโหมแดนหมีขาวในวันศุกร์ (22) ปูตินได้พูดสรุปเกี่ยวกับระบบขีปนาวุธ “โอเรชนิก” (Oreshnik คำภาษารัสเซียแปลว่า ต้นเฮเซล) นี้ ว่าเป็นหนึ่งในความก้าวหน้าทางทหารล่าสุดของรัสเซียว่า มันไม่ใช่เป็นเวอร์ชันปรับปรุงให้ทันสมัยของอาวุธโซเวียตรุ่นเก่า
ตรงกันข้าม นี่คือการพัฒนาขึ้นใหม่โดยอิงอยู่กับเทคโนโลยีไฮเปอร์โซนิกสุดล้ำและวัสดุสมัยใหม่ “มันเป็นผลลัพธ์ของงานที่ได้กระทำขึ้นในสภาพเงื่อนไขต่างๆ ของรัสเซียใหม่” ปูตินบอก พร้อมกับเน้นว่าระบบขีปนาวุธนี้สร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองความจำเป็นทางการทหารร่วมสมัย
ปูตินยืนยันว่า ระบบโอเรชนิกจำนวนหนึ่ง กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการทดสอบในรัสเซีย
เขากล่าวด้วยว่า การทดสอบนี้จะกระทำอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการทดสอบในเงื่อนไขการสู้รบต่างๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการต่างๆ ในด้านความมั่นคง
“การทดสอบจะดำเนินต่อไป โดยเฉพาะในเมื่อเรามีอาวุธเหล่านี้จำนวนเพียงพอสำหรับระยะเวลาของเฟสนี้” เขาบอก
ประธานาธิบดีรัสเซียยังยืนยันด้วยว่า ได้มีการตัดสินใจแล้วให้เริ่มต้นดำเนินการผลิตขีปนาวุธนี้เป็นจำนวนมาก “คุณสามารถสันนิษฐานได้เลยว่า ได้มีการตัดสินใจในเรื่องการผลิตกันแล้ว ในความเป็นจริง มันมีการจัดตั้งดำเนินการกันแล้ว” เขาเสริม โดยที่คาดหมายกันว่าระบบขีปนาวุธนี้จำนวนมากขึ้นจะถูกจัดส่งไปให้แก่กองกำลังขีปนาวุธทางยุทธศาสตร์ (Strategic Missile Forces) ของรัสเซียในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
อาร์ที สื่อทางการรัสเซียกล่าวว่า การใช้ขีปนาวุธนี้ในการสู้รบครั้งแรก มีขึ้นในวันพฤหัสบดี (21) เมื่อมันถูกนำมายิงใส่โรงงานทางการทหารของยูเครนแห่งหนึ่งในเมืองดเนโปรเปตรอฟสก์ (Dnepropetrovsk ชื่อเรียกในภาษารัสเซีย ในยูเครนเปลี่ยนมาเรียกว่า ดนิโปร Dripro) โดยเป้าหมายที่ถูกโจมตีคราวนี้คือ ยูซมาช ซึ่งเป็นโรงงานด้านอุตสาหกรรมกลาโหมใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งยูเครน ที่เป็นมรดกตกทอดมาแต่ยุตสหภาพโซเวียต ทั้งนี้สิ่งที่โรงงานนี้ผลิตมีทั้งพวกอุปกรณ์เกี่ยวกับขีปนาวุธตลอดจนอาวุธอื่นๆ
บีบีซี สื่อที่ได้รับการอุดหนุนจากทางการสหราชอาณาจักร รายงานว่า ประจักษ์พยานหลายรายระบุว่า การโจมตีที่เกิดขึ้นในเมืองดนิโปรเมื่อวันพฤหัสฯ อยู่ในลักษณะที่ผิดจากธรรมดา และเป็นเหตุให้เกิดการระบิดหลายครั้ง ซึ่งเกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลาราว 3 ชั่วโมง
ปูตินบอกว่า รัสเซียตัดสินใจใช้ขีปนาวุธชนิดนี้ เพื่อเป็นการตอบโต้การที่เคียฟโจมตีลึกเข้ามาในรัสเซีย โดยใช้พวกอาวุธทางยุทธวิธีที่ยิ่งได้ไกลๆ ซึ่งฝ่ายตะวันตกจัดส่งให้ เป็นต้นว่า ระบบอะแทคซิมส์ (ATACMS) ของอเมริกา และสตอร์ม แชโดว์ ของสหราชอาณาจักร
ทางฝ่ายรัสเซียระบุว่า โอเรชนิก เป็นขีปนาวุธพิสัยปานกลางที่สามารถติดตั้งหัวรบหลายหัว ซึ่งแต่ละหัวรบเข้าทำลายเป้าหมายที่แตกต่างกันได้ มันมีความเร็วระดับไฮเปอร์โซนิก (เร็วกว่าเสียง 5 เท่าขึ้นไป) และออกแบบมาเพื่อใช้ในการโจมตีแบบความแม่นยำสูง ตามคำแถลงของกระทรวงกลาโหมรัสเซีย “หัวรบทั้งหมด” ของขีปนาวุธที่ยิงใส่เมืองดนิโปรคราวนี้ “พุ่งเข้าสู่เป้าหมาย”
“อย่างที่พวกคุณก็ทราบกัน ยังไม่มีใครในโลกที่มีอาวุธแบบนี้กัน” ปูติน บอก “ประเทศอื่นๆ กำลังทำงานเกี่ยวกับการพัฒนาทำนองเดียวกันนี้ แต่พวกเขาจะยังไม่มีระบบแบบนี้ไปอีกอย่างน้อย 1-2 ปี แต่เรามีพรักพร้อมแล้วในวันนี้ นี่เป็นความได้เปรียบที่สำคัญ”
ปูตินยังเน้นยำสมรรถนะที่เหนือล้ำของขีปนาวุธนี้ โดยอ้างว่าในปัจจุบันไม่มีอาวุธใดๆ สามารถตอบโต้หรือเข้าสกัดได้ “ไม่มีเครื่องมือใดๆ ที่จะตอบโต้หรือสกัดขีปนาวุธแบบนี้ในโลกวันนี้” เขากล่าวย้ำ
ผู้นำรัสเซียได้กล่าวยกย่องชมเชยความสำเร็จในการทดสอบขีปนาวุธนี้ ตลอดจนการนำมาใช้สู้รบคราวนี้ โดยเฉพาะในเรื่องอัตราเร็ว พร้อมกับย้ำถึงความสำคัญที่จะต้องดำเนินการทดสอบอย่างต่อเนื่องและเพิ่มอัตราการผลิต
(ที่มา : อาร์ที/บีบีซี/เอเจนซีส์)