อเล็กซานดาร์ วูชิช ประธานาธิบดีเซอร์เบีย ส่งเสียงเตือนว่า วลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย จริงจังตอนที่พูดถึงความเป็นไปได้ในการใช้อาวุธนิวเคลียร์ หากฝ่ายตรงข้ามยังคงเดินหน้าข้ามเส้นตายที่มอสโกขีดไว้ พร้อมระบุมีแค่ "คนบ้า" หรือ "คนที่ไม่คุ้นเคย" กับ ปูติน เท่านั้นที่จะเพิกเฉยคำเตือนของเขา
"ถ้าคุณคิดว่าคุณสามารถโจมตีอะไรก็ตามใส่ดินแดนรัสเซีย ด้วยโลจิสติกส์และอาวุธของตะวันตก โดยปราศจากการโดนแก้แค้น และคิดว่าปูตินจะไม่ใช่อาวุธอะไรก็ตามที่เขาเล็งเห็นว่ามีความจำเป็น เมื่อนั้นก็เท่ากับว่าคุณไม่รู้จักเขาดีพอ หรือคุณก็เป็นคนไม่ปกติ" วูชิช บอกกับผู้สื่อข่าวเมื่อช่วงต้นสัปดาห์
วูชิช เตือนด้วยว่าโลกกำลังอยู่บนขอบเหวแห่งหายนะ เนื่องจากดูเหมือนไม่มีใครมีความตั้งใจเจรจาข้อตกลงหยุดยิงในความขัดแย้งยูเครน "โลกกำลังเข้าใกล้หายนะ ไม่มีใครฟังใคร ไม่มีใครพูดถึงสันติภาพ" เขากล่าว "วันนี้ เป็นขีปนาวุธข้ามทวีป วันพรุ่งนี้อาจเป็นอย่างอื่น"
ประธานาธิบดีเซอร์เบีย ซึ่งประเทศเคยถูกนาโตทิ้งบอมบ์ถล่มอย่างกว้างขวางในยุทธการเมื่อปี 1999 ได้กล่าวอ้างถึงหลักการนิวเคลียร์ฉบับปรับปรุงใหม่ของรัสเซีย ที่ทางประธานาธิบดีปูติน เห็นชอบไปเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน โดยในเอกสารดังกล่าวไฟเขียวให้มอสโกปฏิบัติกับการโจมตีโดยรัฐไม่มีนิวเคลียร์หนึ่งๆ ภายใต้การสนับสนุนของมหาอำนาจนิวเคลียร์หนึ่งๆ เทียบเท่ากับเป็นการรุกรานทางนิวเคลียร์โดยตรง
นอกจากนี้ ในหลักการนิวเคลียร์ใหม่ยังได้ขยายขอบเขตการใช้อาวุธนิวเคลียร์ ในนั้นรวมถึงสำหรับต่อต้านภัยคุกคามทางทหารโดยทั่วไปที่มีต่อรัสเซีย หรือชาติพันธมิตรอย่างเบลารุส ที่อาจเป็นอันตรายต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของพวกเขา
วูชิช บอกว่า ปูติน มองอาวุธนิวเคลียร์เป็นหนทางสุดท้าย แต่เน้นย้ำว่าถ้าความมั่นคงของรัสเซียถูกคุกคาม ประธานาธิบดีรายนี้จะลงมืออย่างแน่นอน "ถ้าความมั่นคงของมอสโกหรือกองกำลังของพวกเขาตกอยู่ในความเสี่ยง และถ้าไม่มีทางออกอื่น เขาจะใช้อาวุธนิวเคลียร" ผู้นำเซอร์เบียระบุ พร้อมเผยว่า เซอร์เบีย อยากหลีกเลี่ยงเข้าพัวพันในความขัดแย้งดังกล่าว แต่เตือนว่า "เป้าหมายต่างๆ นั้นจะอยู่รอบๆ เรา"
มอสโกกล่าวหาตะวันตกอย่างต่อเนื่อง ว่าโหมกระพือความขัดแย้งยูเครนให้ลุกลามบานปลาย ด้วยการจัดหาขีปนาวุธพิสัยไกลให้แก่เคียฟ และล่าสุดก็อนุมัติให้ยูเครนใช้อาวุธดังกล่าวโจมตีลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย
ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกของวังเครมลิน เมื่อเร็วๆ นี้เรียกความเคลื่อนไหวดังกล่าวว่าเป็นความพยายามโหมกระพือสถานการณ์ลุกลามบานปลายรอบใหม่ ที่มีเป้าหมายลากยาวสงคราม และใช้ยูเครนเป็นตัวแทนเปิดศึกความขัดแย้งในวงกว้างกับรัสเซีย
(ที่มา : อาร์ทีนิวส์)