ราคาน้ำมันขยับขึ้นเกือบ 2% ในวันพฤหัสบดี (21 พ.ย.) ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ หลังทั้ง 2 ชาติต่างยิงขีปนาวุธเข้าใส่กัน โหมกระพือความกังวลทางอุปทาน ปัจจัยนี้ดันทองคำปรับขึ้น 4 วันติด ส่วนวอลล์สตรีทปิดบวกเล็กน้อย จากแรงหนุนหุ้นบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนมกราคม เพิ่มขึ้น 1.40 ดอลลาร์ ปิดที่ 70.15 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้านเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนมกราคม เพิ่มขึ้น 1.48 ดอลาร์ ปิดที่ 74.29 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ระบุในวันพฤหัสบดี (21 พ.ย.) ว่ามอสโกยิงขีปนาวุธพิสัยปานกลางไฮเปอร์โซนิกลูกหนึ่งโจมตีใส่ที่ตั้งทางทหารของยูเครน พร้อมกับเตือนตะวันตกว่ารัสเซียอาจโจมตีแหล่งที่ตั้งทางทหารในประเทศใดก็ตามที่จัดหาอาวุธให้แก่เคียฟ สำหรับใช้เล่นงานรัสเซีย
ปูติน กล่าวว่าตะวันตกกำลังโหมกระพือสถานการณ์ลุกลามในความขัดแย้งในยูเครน ด้วยการป้อนอาวุธพิสัยไกลแก่เคียฟ สำหรับโจมตีดินแดนลึกของรัสเซีย และสงครามกำลังกลายเป็นความขัดแย้งระดับโลก
ก่อนหน้านี้ ยูเครนยิงขีปนาวุธของสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร เข้าใส่เป้าหมายต่างๆภายในรัสเซีย เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ แม้มอสโกเคยเตือนว่า พวกเขาจะมองการกระทำดังกล่าวว่าเป็นการยกระดับสถานการณ์ให้ลุกลามบานปลาย
ความตึงเครียดที่หนักหน่วงขึ้นระหว่างรัสเซียกับยูเครน ดันราคาทองคำในวันพฤหัสบดี (21 พ.ย.) ดีดตัวขึ้น 4 วันติด แตะระดับสูงสุดในรอบ 1 สัปดาห์ ท่ามกลางการแห่ถือครองสินทรัพย์เสี่ยงต่ำโดยราคาทองคำโคเม็กซ์งวดส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์ เพิ่มขึ้น 21.80 ดอลลาร์ ปิดที่ 2,697.40 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวกในวันพฤหัสบดี (21 พ.ย.) ได้แรงหนุนจากหุ้นบริษัทเอ็นวิเดีย ตามหลังเผยแพร่รายงานผลประกอบการ ขณะที่วอลล์สตรีทฟื้นตัวจากแรงเทขายไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ท่ามกลางความกังวลว่าสงครามยูเครนกำลังลุกลามมายังประตูหน้าบ้านของยุโรป
ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 461.88 จุด (1.06 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 43,870.35 เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 31.60 จุด (0.53 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 5,948.71 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 6.28 จุด (0.03 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 18,972.42 จุด
หุ้นของเอ็นวิเดีย บริษัทใหญ่ที่สุดของวอลล์สตรีท ดีดตัวขึ้น 0.8% ตามหลังเผยแพร่รายงานผลประกอบการเมื่อวันพุธ (20 พ.ย.) ทั้งนี้ บริษัทผู้ผลิตชิปแห่งนี้มีผลประกอบการไตรมาส 3 เกินคาดหมาย และคาดการณ์ว่าจะมีรายได้ในไตรมาส 4 เกินคาดเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนบางส่วนไม่รู้สึกประทับใจเท่าใดนักต่อการประมาณการดังกล่าว เนื่องจากมันถือเป็นการเติบโตชะลอตัวที่สุดในรอบ 7 ไตรมาส
ขณะเดียวกัน นักลงทุนจะจับตาความเห็นของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด ก่อนหน้าการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินในช่วงกลางเดือนธันวาคม ในขณะที่พวกนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าอาจมีการปรับลดดอกเบี้ยอีกรอบ 0.25%
(ที่มา : รอยเตอร์)