xs
xsm
sm
md
lg

หนีมาใกล้ไทย! FBI ตามจับ "CIA" มือปล่อยเอกสารลับ "แผนยิวโจมตีอิหร่าน" ได้ใน “กัมพูชา” ส่วน "เนทันยาฮู" ประกาศเตือนโจมตีอีกที เศรษฐกิจเตหะรานเจอพังยับแน่ ยอมรับกดปุ่มระเบิดเพจเจอร์ฮิซบอลเลาะห์เอง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เอพี/เอเจนซีส์ - อาซิฟ วิลเลียม ราห์มาน (Asif William Rahman) มีรายงานทำงานให้ CIA ต้องสงสัยเผยแพร่เอกสารลับสุดยอดแผนอิสราเอลเตรียมโจมตีอิหร่าน โดน FBI จับกุมตัวได้ใน “กัมพูชา” วานนี้ (12 พ.ย.) เตรียมส่งขึ้นศาลที่เกาะกวม ดินแดนอาณานิคมสหรัฐฯ เกิดขึ้นในวันเดียวกันนายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู แถลงกร้าวว ถ้าเตหะรานโจมตีเทอาวีฟ เศรษฐกิจอิหร่านจะหายนะ สื่อยิวรายงานเนทันยาฮูยอมรับกับ ครม.อยู่เบื้องหลังโจมตีเพจเจอร์-วอลกกี้ทอล์กกี้ฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน

เอพีรายงานวันนี้ (13 พ.ย.) ว่า อาซิฟ วิลเลียม ราห์มาน (Asif William Rahman) ถูก FBI จับตัวได้ในกัมพูชาเมื่อวานนี้ (12) อ้างอิงวันที่จับจากสื่อฟ็อกซ์นิวส์ของสหรัฐฯ

หลังเชื่อว่าเขาเป็นคนอยู่เบื้องหลังเผยแพร่เอกสารลับสุดยอดสหรัฐฯ แผนอิสราเอลโจมตีอิหร่านที่ไปโผล่ Middle East Spectator ซึ่งมีฐานอยู่ในกรุงเตหะราน และเผยแพร่ออกไปทั่วโลกเมื่อวันที่ 18 ต.ค. ผ่านทางช่องทางเทเลแกรมและแพลตฟอร์ม X 

และเขามีกำหนดจะต้องขึ้นศาลครั้งแรกที่เกาะกวม ดินแดนอาณานิคมของสหรัฐฯ ในไม่ช้า

ทั้งนี้ ราห์มานถูกสฟ้องสัปดาห์ที่แล้วในศาลสหรัฐฯ ที่รัฐเวอร์จิเนียสำหรับ 2 กระทงในข้อหาการส่งผ่านความลับทางการป้องกันประเทศอย่างตั้งใจ ซึ่งเป็นข้อหาอุกฉกรรจ์ที่มีโทษจำคุกร้ายแรง

หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สรายงานข่าวนี้เป็นเจ้าแรก

เอพีชี้ว่าในเวลานี้ไม่เป็นที่แน่ชัดว่า มือปล่อยเอกสารลับรายนี้ทำงานให้หน่วยงานใดของรัฐบาลสหรัฐฯ แต่เจ้าหน้าที่เปิดเผยว่า เขาได้รับการอนุญาตให้เข้าสู่ความลับชั้นสูงสหรัฐฯ ได้ เอกสารลับแผนการเตรียมลงมือโจมตีอิหร่านถูกเผยแพร่เฉพาะในกลุ่ม FIVE EYES ที่สหรัฐฯ เป็นหนึ่งในประเทศสมาชิก

อย่างไรก็ตาม ฟ็อกซ์นิวส์รายงานว่า ผู้ต้องสงสัยทำงานให้ CIA ของสหรัฐฯ ซึ่ง Middle East Spectator ในวันที่ 18 ต.ค. ที่ได้เผยแพร่เอกสารลับทวีตอ้างว่า ได้รับมาจากแหล่งข่าวในชุมชนข่าวกรองสหรัฐฯ

ขณะที่ YNETNews ของอิสราเอลรายงานเพิ่มเติมอ้างว่า เอกสารศาลและแหล่งข่าวใกล้ชิดในคดีนี้ระบุว่า ผู้ต้องสงสัย อาซิฟ วิลเลียม ราห์มาน เป็นเจ้าหน้าที่ CIA ทำงานปฏิบัติอการนอกประเทศ และตามรายงานของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สที่รายงานโดย opindia ของอินเดียชี้ว่า เชื่อว่าเหตุผลเบื้องหลังมาจากแรงจูงใจแนวคิดส่วนตัวเป็นหลัก และเขาสามารถเขาถึงเอกสารความลับจากตำแหน่งในหน่วยงานข่าวกรองสหรัฐฯ ซึ่งเขาได้รับอนุญาตให้สามารถเข้าถึงชั้นความลับระดับสูงได้ 

ด้านนายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู วันอังคาร (12) ออกมาประกาศเตือนอิหร่านเป็นครั้งที่ 2 ภายในเดือนเดียวว่า หากอิหร่านคิดโจมตีอิสราเอลต่อเป็นครั้งที่ 3 เศรษฐกิจของเตหะรานจะต้องพินาศ ไทม์สออฟอิสราเอลรายงานวานนี้ (12)

เป็นแถลงการณ์ที่เนทันยาฮูออกมาทางวิดีโอคลิปและเขากล่าวเป็นภาษาอังกฤษ สื่อยิวชี้ว่าเป็นแถลงการณ์ตรงจากผู้นำเทลอาวีฟไปยังประชาชนชาวอิหร่าน

มันจะปล้นพวกคุณมากกว่าหลายพันล้านดอลลาร์” 

เนทันยาฮูกล่าวในส่วนหนึ่งของเนื้อหาแถลงการณ์ที่กล่าวไปถึงการโจมตีที่อาจจะเกิดขึ้นหลังอ้างว่าการโจมตีด้วยมิสไซล์ของอิหร่านต่ออิสราเอลเมื่อตุลาคมนั้นได้สร้างความเสียหายให้เตหะรานราว 2.3 พันล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม โฆษกเนทันยาฮูในภายหลังได้เปิดเผยว่าตัวเลข 2.3 พันล้านดอลลาร์ที่ผู้นำยิวอ้างนั้นแสดงไปถึงจำนวนมิสไซล์อิหร่านกว่า 200 ลูกที่ระดมยิงใส่เตหะราน

เนทันยาฮูได้ออกแถลงการณ์ครั้งสุดท้ายต่อชาวอิหร่าน 2 วันก่อนที่เตหะรานจะส่งขีปนาวุธ 200 ลูกมายังอิสราเอลเมื่อวันที่ 1 ต.ค. และส่งผลทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ต้องเข้าไปหลบในบังเกอร์

ทั้งนี้ CNN ของสหรัฐฯ รายงานวันอาทิตย์ (10) ว่า เบนจามิน เนทันยาฮู ผู้นำอิสราเอลยอมรับว่า อยู่เบื้องหลังปฏิบัติการระเบิดเพจเจอร์และวอล์กกีทอล์กีโจมตีฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน

สื่อภายในอิสราเอลรายงานว่า เป็นการยอมรับครั้งแรกของเนทันยาฮู ตามรายงานพบว่าเขาได้เปิดเผยแก่คณะรัฐมนตรีอิสราเอลในที่ประชุม

“ปฏิบัติการเพจเจอร์และการสังหารผู้นำฮิซบอลเลาะห์ ฮัสซาน นัสรัลลาห์ (Hassan Nasrallah) เกิดขึ้นถึงแม้จะถูกต่อต้านจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของฝ่ายความมั่นคงและฝ่ายการเมืองที่ควบคุมคนเหล่านั้น” เนทันยาฮูกล่าว

ซึ่งสื่อยิวได้ออกมาชี้ว่า เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ต่อผู้นำกองทัพอิสราเอลและผู้นำด้านหน่วยข่าวกรองอิสราเอล และรวมไปถึงอดีตรัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอลที่ถูกเนทันยาฮูสั่งปลดเมื่อสัปดาห์ที่แล้วซึ่งตรงกับสัปดาห์เลือกตั้งสหรัฐฯ

แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่อิสราเอลยืนยันการแถลงการณ์นี้ต่อ CNN ถือเป็นการออกมายอมรับครั้งแรกต่อบทบาทของเทลอาวีฟในการโจมตีอุกอาจระทึกขวัญไปทั่วโลกท่ามกลางผู้บาดเจ็บจำนวนมากร่วม 3,000 คน และมีผู้เสียชีวิตถึง 37 คนรวมเด็กๆ


กำลังโหลดความคิดเห็น