xs
xsm
sm
md
lg

โชว์ ‘ทรัมป์’ ว่าพร้อมจ่าย! สื่อมะกันเผย ‘ไต้หวัน’ เล็งจัดซื้ออาวุธ $15,000 ล้านจากสหรัฐฯ รวม ‘F-35’ ฝูงใหญ่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



รัฐบาลไต้หวันกำลังพิจารณาแผนจัดซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ มูลค่าสูงถึง 15,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อแสดงให้ โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ผู้นำอเมริกาคนใหม่ เห็นว่าไทเปนั้น “จริงจัง” แค่ไหนในการปกป้องตนเองจากจีน

หนังสือพิมพ์ Financial Times รายงานเมื่อวันจันทร์ (11 พ.ย.) ว่า เจ้าหน้าที่ไต้หวันได้เริ่มพูดคุยแบบไม่เป็นทางการกับทีมงานของทรัมป์แล้ว แต่เนื่องจาก ทรัมป์ ยังอยู่ระหว่างฟอร์มทีมบริหารชุดใหม่ จึงยังไม่แน่ชัดว่าใครบ้างที่มีส่วนร่วมในการหารือครั้งนี้

อย่างไรก็ตาม รายงานอ้างว่าไต้หวันกำลังพิจารณาจัดซื้อเรือพิฆาตชั้นเอจิส (Aegis) ซึ่งทางบริษัทกลาโหม ล็อกฮีด มาร์ติน ระบุว่าเป็น “ระบบต่อสู้แบบหลากภารกิจที่มีศักยภาพสูงสุดในโลก ณ เวลานี้” เนื่องจากหลอมรวมระบบป้องกันภัยทางอากาศและขีปนาวุธไว้ด้วย

ไทเปยังสนใจระบบอาวุธที่ซับซ้อนอื่นๆ เพื่อนำมาช่วยเสริมศักยภาพในการทำสงคราม รวมถึงเครื่องบิน E-2D Advanced Hawkeye ของนอร์ธร็อปกรัมแมน ซึ่งเชื่อกันว่าอาจจะเป็น “ตัวพลิกเกมสำหรับกองทัพเรือในการควบคุมและบริหารจัดการการสู้รบ”

Fox News Digital ซึ่งนำเรื่องนี้มารายงานต่อยังไม่สามารถติดต่อทีมงานเปลี่ยนผ่านของ ทรัมป์ เพื่อขอคำยืนยันเรื่อง “บทสนทนาแบบไม่เป็นทางการ” นี้ได้ แต่ก็อ้างแหล่งข่าวใกล้ชัดที่ระบุว่า โครงการจัดซื้อของไต้หวันนั้นอาจรวมถึงเครื่องบินขับไล่ F-35 สูงสุด 60 ลำ เรือรบ 10 ลำ และขีปนาวุธแพทริออตอีก 400 ลูก

“ไต้หวันกำลังวางแผนจัดซื้ออาวุธ เพื่อให้เราเห็นว่าพวกเขาซีเรียส” อดีตเจ้าหน้าที่ในรัฐบาลทรัมป์ชุดที่แล้วให้ข้อมูลกับ Financial Times

“สมมติว่าเรื่องนี้ผ่านฉลุย มันจะเข้าสู่การพิจารณาของที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ เมื่อมีการแต่งตั้ง และจะเป็นคำสั่งซื้ออาวุธหนักล็อตใหญ่มากครั้งหนึ่งสำหรับสหรัฐฯ”

Fox News Digital ยังไม่สามารถติดต่อไปยังรัฐบาลไต้หวันเพื่อขอคำยืนยันได้ แต่มีรายงานของรอยเตอร์ซึ่งระบุว่า ไทเปออกมา “ปฏิเสธ” ไม่ได้มีการพูดคุยเรื่องแพกเกจอาวุธกับทีมงานเปลี่ยนผ่านของทรัมป์

ระหว่างเดินสายหาเสียง ทรัมป์ ขู่จะขยายสงครามการค้ากับจีน แต่ไม่ชัดเจนว่าจุดยืนของเขาในด้านความจำเป็นทางทหารของสหรัฐฯ เป็นอย่างไรแน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณน่านน้ำนอกชายฝั่งจีน

ที่มา : Fox News, Financial Times
กำลังโหลดความคิดเห็น