ราคาน้ำมันขยับลงมากกว่า 2% ในวันจันทร์ (11 พ.ย.) หลังแผนกระตุ้นเศรษฐกิจล่าสุดของจีนสร้างความผิดหวังแก่นักลงทุน และดอลลาร์แข็งค่า ปัจจัยหลังนี้ฉุดทองคำปรับลด ขณะที่วอลล์สตรีทปิดบวก จับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่จะก่ออิทธิพลต่อแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนธันวาคม ลดลง 2.34 ดอลลาร์ ปิดที่ 68.04 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้านเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนมกราคม ลดลง 2.04 ดอลลาร์ ปิดที่ 71.83 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ในจีน ดัชนีราคาผู้บริโภคดีดเพิ่มขึ้นในอัตราชะลอตัวที่สุดในรอบ 4 เดือน ในเดือนตุลาคม ขณะที่ราคาผู้ผลิตเข้าสู่ภาวะฝืดเคืองมากกว่าเดิม จากข้อมูลที่เผยแพร่เมื่อวันเสาร์ (9 พ.ย.) แม้จีน ชาติผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ของโลก เพิ่มความพยายามเป็น 2 เท่า ในการกระตุ้นเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจที่ง่อนแง่น
นอกจากนี้แล้ว ราคาน้ำมันยังถูกฉุดจากการแข็งค่าของดอลลาร์ ทั้งนี้ดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นทำให้น้ำมันมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ซื้อที่ถือสกุลเงินอื่นๆ ซึ่งกัดเซาะอุปสงค์ทางพลังงาน
การแข็งค่าของดอลลาร์และความเกี่ยวข้องอย่างกว้างๆ ของชัยชนะในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของ โดนัลด์ ทรัมป์ กับนโยบายการคลังและอัตราดอกเบี้ย ฉุดให้ราคาทองคำปรับลดมากกว่า 2% ในวันจันทร์ (11 พ.ย.) โดยราคาทองคำโคเม็กซ์งวดส่งมอบเดือนธันวาคม ลดลง 66.50 ดอลลาร์ ปิดที่ 2,628.30 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวกในวันจันทร์ (11 พ.ย.) ได้แรงหนุนจากเทสลา ก่อนหน้าที่จะมีการเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจเป็นชุดๆ ที่อาจก่ออิทธิพลต่ออัตราการปรับลดดอกเบี้ยของเฟด
ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 304.14 จุด (0.69 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 44,293.13 เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 5.81 จุด (0.10 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 6,001.35 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 11.99 จุด (0.06 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 19,298.77 จุด
หุ้นหลายตัวปรับขึ้นมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ โดนัลด์ ทรัมป์ จากรีพับลิกัน ชนะเลือกตั้งประธานาธิบดี ในขณะที่พวกนักลงทุนคาดหมายว่าบรรดาบริษัทเหล่านี้จะได้รับประโยชน์จากการคืนสู่ทำเนียบขาวของทรัมป์
เทสลา พุ่งขึ้นเกือบ 9% และมีมูลค่าการตลาดแตะระดับ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ ท่ามกลางการคาดการณ์ว่าผู้ผลิตรถยนต์แห่งนี้จะได้ประโยชน์จากกรณีที่ อีลอน มัสก์ ซีอีโอของบริษัทมีความใกล้ชิดกับทรัมป์
ขณะเดียวกัน นักลงทุนกำลังจับตาไปที่ข้อมูลเงินเฟ้อราคาผู้บริโภคที่มีกำหนดเผยแพร่ในวันพุธ (13 พ.ย.) และชุดข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆ ในสัปดาห์นี้ สำหรับหาสัญญาญแนวโน้มนโยบายทางเศรษฐกิจและการเงิน หลังจากเฟดปรับลดดอกเบี้ยอีก 0.25% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
(ที่มา : รอยเตอร์)