xs
xsm
sm
md
lg

สงคราม, เงินเฟ้อ, และแนวคิดเสรีนิยมสุดโต่ง คือสิ่งที่เสริมส่งให้‘ทรัมป์’กลับคืนสู่ทำเนียบขาวได้อีกหน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: เดวิด พี โกลด์แมน


โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ และผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรครีพับลิกัน ทำท่าทำทางอย่างครึกครื้น ภายหลังที่มั่นใจว่าตัวเองชนะเลือกตั้ง และขึ้นกล่าวปราศรัยในงานวันเลือกตั้ง ณ ศูนย์ประชุมในเมืองเวสต์พาร์ลมบีช, รัฐฟลอริดา ขณะเวลาย่างเข้าสู่ช่วงก่อนรุ่งสางวันที่ 6 พฤศจิกายน 2024
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)

War, inflation and wokeism return Trump to White House
by David P Goldman
06/11/2024

โดนัลด์ ทรัมป์ ใช้ประโยชน์อย่างเต็มเหนี่ยวจากจุดอ่อนที่มีอยู่หลายหลากของ กมลา แฮร์ริส จนกระทั่งสามารถหวนกลับมาผงาดอีกครั้งในทางการเมืองอย่างโดดเด่นเตะตาที่สุดคราวหนึ่งในประวัติศาสตร์อเมริกัน

เมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับการคาดการณ์จากสื่อยักษ์ใหญ่สหรัฐฯทั้งหลาย [1] ว่า เขาเป็นผู้มีชัยในรัฐเพนซิลเวเนีย ภายหลังการนับคะแนนเสียงในรัฐแห่งนั้นผ่านพ้นไปได้ 95% [2] ก็เป็นอันแน่ใจได้ว่าเขาได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีอีกสมัยหนึ่ง และควรถือเป็นการหวนกลับมาผงาดอีกครั้งในทางการเมือง ซึ่งมีความโดดเด่นเตะตาที่สุดคราวหนึ่งในประวัติศาสตร์อเมริกันทีเดียว

ทรัมป์ต้องเผชิญหน้ากับทั้งระบบกฎหมายที่ถูกทำให้กลายเป็นอาวุธใช้เล่นงานเขา, การถูกสอบสวนอย่างน่าสงสัยข้องใจที่ว่าเขาตกอยู่ใต้อิทธิพลของต่างชาติ, และความพยายามที่จะลอบสังหารเขา 2 ครั้ง 2 คราว ถึงแม้ถูกพวกสื่อมวลชนกระแสหลักจำนวนมากขีดฆ่าชื่อของเขาทิ้งไปแล้วโดยมองว่าเป็นเพียงพวกตกยุคสมัยที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่ทรัมป์กลับหวนคืนสู้เส้นทางแห่งการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งในแบบฉบับของนักรบผู้มีความสุข และประสบชัยชนะในการลงคะแนนเสียงในวันที่ 5 พฤศจิกายน

เขายังเจอกับปรปักษ์ที่อ่อนแอเนื่องจากถูกรุมเร้าด้วยผลงานทางเศรษฐกิจซึ่งถูกมองว่าย่ำแย่ และการยืนกรานเข้าทำสงครามในต่างประเทศซึ่งไม่เป็นที่นิยมชมชื่นของประชาชน กมลา แฮร์ริส ยังกลายเป็นผู้แข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรกในหลายชั่วอายุคนที่ผ่านมาที่ถูกคัดเลือกจากพวกชนชั้นนำของพรรคการเมือง แทนที่จะมาจากการคัดสรรตามกระบวนการเลือกตั้งขั้นต้น (primary election) ทั้งนี้เธอต่อสู้ดิ้นรนหนักทีเดียวในการต้องคอยอธิบายว่าทำไมเธอจึงจะสามารถทำได้ดีขึ้นเมื่ออยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดีแล้ว แตกต่างไปจากที่เธอทำได้ตอนที่นั่งเป็นรองประธานาธิบดีในคณะบริหารที่กำลังจะพ้นตำแหน่งไปของ โจ ไบเดน

สิ่งที่ผลักดัน โดนัลด์ ทรัมป์ ให้นำโด่งเกินใครๆ ในบรรดาผู้ต้องการเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกันด้วยกัน ตั้งแต่ช่วงกระบวนการเลือกตั้งขั้นต้นของพรรคในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯสมัยปี 2016 ได้แก่ การที่เขาปฏิเสธอย่างดูถูกดูหมิ่นไม่ยอมรับ “การทำสงครามไปตลอดกาล” หลังจากมีการใช้งบประมาณรายจ่ายไปแล้วถึง 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และชีวิตผู้คนเป็นล้านๆ ต้องพินาศพังภินท์ ผู้ออกเสียงชาวอเมริกันจึงพากันปฏิเสธไม่เอาด้วยกับแนวกำแพงอันหนักแน่นมั่นคงแนวนี้ของชนชั้นนำทางด้านนโยบายการต่างประเทศ และหันมาออกเสียงสนับสนุนสันติภาพ พลังคัดค้านอย่างจริงจังเพียงพลังเดียวที่ ทรัมป์ ต้องเผชิญ เมื่อปี 2016 นั้น มาจากผู้สมัครแอนตี้สงครามอีกรายหนึ่ง ได้แก่ วุฒิสมาชิก เทด ครูซ (Ted Cruz) (พรรครีพับลิกัน-รัฐเทกซัส) ผู้ซึ่งก็ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาสูงอีกสมัยหนึ่งในวันที่ 5 พฤศจิกายนเช่นกัน

สงครามยูเครนนั้น ไม่ได้มีน้ำหนักระดับเดียวกับการยกทัพจับศึกในอิรักและอัฟกานิสถาน สืบเนื่องจากไม่มีกองกำลังอาวุธอเมริกันใดๆ เข้าไปเกี่ยวข้องพัวพันด้วย กระนั้นก็ตามที มันก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ ทรัมป์ สามารถดึงเสียงโหวตด้วยนโยบายการต่างประเทศ จากการให้คำมั่นสัญญาว่าจะทำให้เกิดสันติภาพขึ้นมาในยูเครนโดยเร็วในทันทีที่เขาเข้ารับตำแหน่ง

ภายในสหรัฐฯเองนั้น ชาวอเมริกันกำลังลำบากเดือดร้อนภายหลังเจอแรงหมัดของอัตราเงินเฟ้อครั้งร้ายแรงที่สุดนับตั้งแต่ทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา โดยที่หากใช้วิธีการวัดบางรูปแบบ [3] มันจะเป็นครั้งเลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ยุคสงครามกลางเมือง (Civil War) ของสหรัฐฯเสียด้วยซ้ำ คณะบริหารไบเดนเอาแต่เพิ่มรายจ่ายของรัฐบาลกลางจนทะลุเพดานสร้างสถิติใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้ภาวะขาดดุลงบประมาณอยู่ระดับเท่ากับเกือบๆ 7% ของจีดีพี ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏให้เห็นกันมาก่อนในช่วงเวลาแห่งการขยับขยายตัวยามสันติ

เมื่อพิจารณาจากต้นทุนของเงินแล้ว อัตราเงินเฟ้อรอบนี้เคยขึ้นไปสูงสุดที่ 18% ทีเดียว และยังคงกำลังคุกคามอยู่ที่ระดับ 8% แฮร์ริสคือผู้ที่เป็นเจ้าของผลลัพธ์เช่นนี้ แถมยังทำให้ตัวเธอเองไม่เป็นที่นิยมชมชอบ ด้วยการหลบเลี่ยงไม่ยอมตอบคำถามตรงๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อถูกสื่อตามจี้ตามจิก

เวลาเดียวกัน วัฒนธรรมแบบปฏิวัติของพวกฝ่ายซ้ายในอเมริกาก็ก้าวไปไกลเกินไปและรวดเร็วเกินไปในความพยายามที่จะส่งเสริมสนับสนุนความเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงต่างๆ ในการนิยามจำกัดความเรื่องเพศภาวะ ชาวอเมริกันนั้นเป็นคนที่มีความอดทนอดกลั้น และสนับสนุนเรื่องการแต่งงานระหว่างคู่สมรสเพศเดียวกันด้วยคะแนนเสียงเกินครึ่งชนิดท่วมท้น

ทว่าเมื่อเป็นเรื่องให้ยอมรับวิธีบำบัดรักษาด้วยการปรับเปลี่ยนระดับฮอร์โมนในร่างกาย แม้กระทั่งสำหรับเด็กๆ ที่อยู่ในวัยก่อนมีวุฒิภาวะทางเพศ (pre-pubescent) ซึ่งจินตนาการว่าพวกเขาเกิดมาโดยมีเพศที่ไม่ถูกต้อง หรือการยินยอมให้นักกีฬาชายที่แปลงเพศแล้วลงแข่งขันในกีฬาประเภทหญิง เหล่านี้ก็สร้างความโกรธกริ้วให้แก่หลายส่วนใหญ่ๆ ของสาธารณชนทั่วไป ทั้งนี้ตามผลสำรวจชี้ว่า ชาวอเมริกันคัดค้านการอนุญาตให้นักกีฬาแปลงเพศลงแข่งขันในกีฬาประเภทหญิงในอัตราส่วนสูงถึง 3 ต่อ 1 ทีเดียว [3]

ในฐานะของนักรณรงค์หาเสียง ทรัมป์สามารถนำพาการหาเสียงของเขาฝ่าข้ามกลุ่มผู้ออกเสียงสำคัญๆ ที่มีความคิดเห็นแตกต่างกันมากจนถึงตรงกันข้ามกันได้อย่างคล่องแคล่วชำนิชำนาญ เป็นต้นว่า ทั้งๆ ที่ถูกจับตามองอย่างกว้างขวางว่าเป็นผู้สนับสนุนอิสราเอลอย่างแข็งขันยิ่งกว่าแฮร์ริส ทว่า ทรัมป์ กลับสามารถชนะใจได้รับการรับรองจากนายกเทศมนตรีเมืองแฮมแทรมสก์ (Hamtramck) ในรัฐมิชิแกน ซึ่งเป็นเมืองขนาดใหญ่เมืองเดียวในสหรัฐฯที่ประชากรส่วนข้างมากเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายอาหรับ

แฮมแทรมสก์ เคยก่อให้เกิดเสียงฮือฮากันมากเมื่อปี 2023 ด้วยการประกาศงดติดตั้งสัญลักษณ์การยอมรับความหลากหลายทางเพศภาวะ หรือ LGBTQ บนทรัพย์สินของเมือง ดังนั้น ชาวมุสลิมที่เป็นพวกอนุรักษนิยมในทางวัฒนธรรม จึงอาจจะใส่ใจกับเรื่องที่ระบบโรงเรียนแบบเสรีนิยมจะปลูกฝังความคิดเลวร้ายให้แก่เด็กๆ ลูกหลานของพวกเขา มากกว่าห่วงใยเกี่ยวกับเรื่องนโยบายการต่างประเทศเสียอีก

ลักษณะแบบเชิดชูชนชั้นนำและดูถูกประชาชนของพวกผู้นำพรรคเดโมแครต ได้รับการพิสูจน์อีกครั้งว่าเป็นพิษภัยสำหรับการรณรงค์หาเสียงของแฮร์ริส ทำนองเดียวกับที่ได้สร้างพิษภัยดังกล่าวให้แก่ ฮิลลารี คลินตัน มาแล้วในปี 2016 การที่ประธานาธิบดีไบเดน ตั้งข้อสังเกตแบบไม่มีหูรูดในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนหน้าวันเลือกตั้งซึ่งมีผลทำให้ถูกกระพือว่า เป็นการโจมตีใส่พวกผู้ออกเสียงให้ทรัมป์ว่าเป็น “พวกขยะ” –ซึ่งอันที่จริงก็เป็นการตอบโต้ต่อการที่ดาราตลกผู้สนับสนุนทรัมป์คนหนึ่งพูดเยาะเย้ยป้ายสีเรื่องเปอร์โตริโก—กลายเป็นไวรัลถูกนำไปเผยแพร่ต่ออย่างกว้างขวาง เรื่องนี้สร้างความเสียหายให้ แฮร์ริส อย่างร้ายแรง ไม่ว่า ไบเดน ลงแรงพยายามหนักขนาดไหนเพื่อแก้ต่างแก้ตัว

ทั้งนี้ การที่ ฮิลลารี คลินตัน แสดงความคิดเห็นเมื่อเดือนกันยายนปี 2016 ในงานระดมหาเงินบริจาคช่วยหาเสียงจากทางกลุ่ม LGTBQ โดยเธอพูดว่าพวกผู้สนับสนุนทรัมป์ เป็นคน “น่าเวทนา” ก็ได้เคยเป็นชนวนป่าวร้องให้เกิดกระแสคัดค้านลัทธิเชิดชูผู้นำดูหมิ่นประชาชนมาแล้ว ความหายนะในทำนองเดียวกันนี้ยังเคยเกิดขึ้นกับ มิตต์ รอมนีย์ (Mitt Romney) ครั้งที่เขาเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรครีพับลิกัน (โดยต่อกรกับ บารัค โอบามา จากพรรคเดโมแครต) เมื่อเขาไปพูดในที่ประชุมเป็นการภายในของผู้บริจาคเสียงช่วยหาเสียงของเขาในปี 2012 ว่า 47% ของผู้ออกเสียงเป็นพวกที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไรหรอก ทั้งนี้เขาตั้งใจให้หมายความว่า ผู้ออกเสียงจำนวนดังกล่าวเป็นพวกที่ไม่ได้จ่ายภาษีเงินได้ให้แก่ทางรัฐบาลกลางกันเลย ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมากลับกลายเป็นว่าเขาปฏิเสธไม่ให้คุณค่าแก่ผู้มีสิทธิออกเสียงถึงเกือบครึ่งหนึ่ง และนั่นก็ส่งผลทำให้การรณรงค์หาเสียงของเขาพังยับเยิน

ถึงแม้มีการประกาศเน้นย้ำต่างๆ นานาบนเส้นทางของการรณรงค์หาเสียงของเขา แต่ภาพรวมเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ของทรัมป์ยังคงไม่มีความชัดเจน เมื่อทรัมป์พูดเกี่ยวกับการขึ้นภาษีศุลกากรเพื่อเป็นการลงโทษจีนหรือเม็กซิโก หรือการตั้งกำแพงขึ้นภาษีศุลกากรเอากับสินค้าเข้าจากประเทศอื่นๆ ทั่วโลกนั้น มันไม่ได้มีความชัดเจนเลยว่า เขากำลังคิดคำนวณเพื่อจัดวางฐานะสำหรับการเจรจาต่อรอง หรือว่ามันเป็นข้อเสนอทางนโยบายที่แน่นอนชัดเจนแล้ว

คงต้องวางใจเอาไว้เช่นนี้เหมือนกัน ในเวลาที่อ่านผลงานที่ได้รับการเผยแพร่โดยพวกที่ปรึกษาใกล้ใกล้ชิดของทรัมป์ อย่างเช่น ปีเตอร์ นาวาร์โร (Peter Navarro) [5] ถ้อยคำโวหารในการรณรงค์หาเสียงของทรัมป์ วาดภาพให้เห็นไปว่าภาษีศุลกากรคือเครื่องมือที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ทุกอย่างในเรื่องความตกต่ำเสื่อมโทรมทางอุตสาหกรรมของอเมริกา ทว่าย่อมเป็นสิ่งที่เห็นกันได้อย่างชัดเจนอยู่แล้วว่า มันไม่ใช่อะไรง่ายๆ อย่างนี้หรอก

ทรัมป์มีโอกาสแล้วที่จะสร้างคณะบริหารที่ยิ่งใหญ่ชุดหนึ่งขึ้นมา ตัวผมเองเมื่อเร็วๆ นี้ได้มีโอกาสเสนอแนะวาระสำหรับทรัมป์ในการดำเนินการในระยะ 4 ปีข้างหน้า โดยใช้ชื่อเรื่องว่า “สร้างสันติภาพและสร้างอเมริกาขึ้นมาใหม่” (Make Peace and Rebuild America) [6] เขาสามารถหวนกลับมาผงาดอีกครั้งหนึ่งได้อย่างพิเศษโดดเด่นแล้ว ทว่าส่วนต่อไปที่เขาจะต้องกระทำนั้น มันจะยากลำบากยิ่งกว่าส่วนแรกเสียอีก

เชิงอรรถ
[1] https://thehill.com/homenews/campaign/4969733-kamala-harris-donald-trump-election-day-live/
[2] https://www.nytimes.com/
[3] https://asiatimes.com/2024/04/hidden-inflation-tanks-biden-re-election-campaign/
[4] https://news.gallup.com/poll/507023/say-birth-gender-dictate-sports-participation.aspx
[5] https://www.compactmag.com/article/tariffs-arent-a-manufacturing-cure-all/
[6] https://asiatimes.com/2024/10/letter-to-trump-make-peace-and-rebuild-americas-industrial-base/
กำลังโหลดความคิดเห็น