กมลา แฮร์ริส ออกมาแถลงยอมรับความพ่ายแพ้ต่อโดนัลด์ ทรัมป์ ในการลงเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แล้ว แต่ยืนยันยังไม่ยุติการต่อสู้เพื่อคนอเมริกัน ขณะที่ โจ ไบเดน ก็เตรียมปราศรัย รวมทั้งให้สัญญาร่วมกับแฮร์ริสผ่องถ่ายอำนาจแก่ทรัมป์อย่างราบรื่น ด้านทีมรณรงค์หาเสียงของว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ระบุ เตรียมเผยรายชื่อคณะบริหารชุดใหม่ในอีกไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้
ทำเนียบขาวแถลงว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่ถอนตัวจากการลงสมัครรับเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อเดือนกรกฎาคม หลังโชว์ผลงานการดีเบตต่ำกว่ามาตรฐานไปมาก และส่งไม้ต่อให้รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส ลงเลือกตั้งแทนนั้น จะกล่าวปราศรัยในเวลา 11.00 น. วันพฤหัสฯ (7 พ.ย.)
ก่อนหน้านั้น แฮร์ริสซึ่งหายหน้าไปในคืนวันเลือกตั้ง (5) โดยไม่ได้อยู่ร่วมลุ้นการนับคะแนนกับพวกผู้สนับสนุนนั้น ได้แถลงในช่วงบ่ายวันพุ (6) ยอมรับความพ่ายแพ้ของตัวเองแล้ว พร้อมปลอบโยนกองเชียร์ที่วาดหวังว่า อเมริกาจะได้ประธานาธิบดีหญิงคนแรก โดยกล่าวว่า แม้ยอมรับความปราชัยต่อทรัมป์ในการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่เธอไม่ได้ยอมแพ้ในการต่อสู้เพื่อเสรีภาพ โอกาส ความเท่าเทียม และศักดิ์ศรีของคนอเมริกันทั้งหมด
แฮร์ริสเผยว่า ได้โทรศัพท์ไปแสดงความยินดีกับ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 47 แล้ว รวมทั้งให้สัญญาเช่นเดียวกับไบเดนว่า จะช่วยให้การผ่องถ่ายอำนาจเป็นไปอย่างราบรื่น อย่างไรก็ดี เธอยืนยันว่า ไม่ยอมรับวิสัยทัศน์ในการบริหารประเทศของทรัมป์
ขณะที่ทีมรณรงค์หาเสียงของทรัมป์เผยว่า ระหว่างที่ไบเดนโทรศัพท์มาแสดงความยินกับทรัมป์ที่ชนะเลือกตั้งในวันพุธนั้น ไบเดนยังได้เชิญทรัมป์ไปพบที่ทำเนียบขาวเร็วๆ นี้ ซึ่งทรัมป์ก็ตอบรับแต่ไม่ได้ระบุวันเวลา ทั้งนี้สิ่งที่ไบเดนกระทำคราวนี้ ซึ่งเป็นการสืบทอดธรรมเนียมการปฏิบัติในอดีต เป็นสิ่งที่ ทรัมป์ ไม่ยอมกระทำตอนที่เขาพ่ายแพ้แก่ไบเดนในการเลือกตั้งเมื่อปี 2000 รวมทั้งยังกล่าวหาว่าเขาถูกไบเดนปล้นชัยชนะอีกด้วย
สำหรับชัยชนะในคราวนี้ของทรัมป์ ถือว่าสร้างเซอร์ไพรส์ไม่ใช่น้อย หลังจากโพลแทบทุกสำนักในช่วงใกล้วันเลือกตั้งพากันระบุว่า การเลือกตั้งซึ่งมีขึ้นเมื่อวันอังคาร (5) จะคู่คี่เป็นอย่างยิ่ง แต่ปรากฏว่าทรัมป์กลับชนะได้รับการคาดการณ์จากพวกสื่อยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ ตั้งแต่ก่อนเช้ามืดวันพุธตามเวลาภาคตะวันออกของสหรัฐฯ ว่าได้คะแนนคณะผู้เลือกตั้ง (อิเล็กเทอรัลโหวต) เกินกึ่งหนึ่งแล้ว นอกจากนั้น ทางด้านป็อปปูลาร์โหวต ซึ่งคือคะแนนเสียงของผู้ออกเสียงทั่วประเทศ ทรัมป์ก็นำแฮร์ริสอยู่เกือบๆ 5 ล้านเสียง
ทั้งนี้ พวกนักวิเคราะห์มองว่า การหาเสียงของทรัมป์เข้าถึงจิตใจผู้ออกเสียงชาวอเมริกันมากกว่า โดยเฉพาะการตอกย้ำผลกระทบของภาวะเงินเฟ้อและค่าครองชีพ ความมั่นคงปลอดภัยบริเวณชายแดนเนื่องจากการไหลบ่าเข้ามาของผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย ตลอดจนทิศทางและวัฒนธรรมของประเทศที่ทรัมป์กล่าวหาว่าถูกพวกเสรีนิยมซึ่งเขาตราหน้าว่าเป็นฝ่ายซ้ายเป็นคอมมิวนิสต์ ผลักดันให้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและสุดโต่งจนคนทั่วไปรับไม่ได้
กลุ่มฮิสปานิก หรือกลุ่มคนพูดภาษาสเปน ซึ่งเคยเป็นฐานเสียงของเดโมแครต รวมทั้งครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำที่ได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อรุนแรงที่สุด ได้หันกลับเลือกทรัมป์ และมีบทบาทเสริมส่งให้ทรัมป์ได้รับชัยชนะในครั้งนี้
ขณะที่ความพยายามของแฮร์ริสที่ตอบย้ำว่า ทรัมป์ไม่มีคุณสมบัติที่จะกลับเข้าสู่ทำเนียบขาวอีกสมัย เนื่องจากเป็นผู้กระทำผิดอุกฉกรรจ์ อีกทั้งยังโป้ปดมดเท็จว่า ตนเองถูกโกงเลือกตั้งหลังแพ้เมื่อ 4 ปีที่แล้ว และยังปลุกปั่นผู้สนับสนุนบุกโจมตีอาคารรัฐสภาเพื่อพยายามขัดขวางการรับรองชัยชนะของไบเดน กระทั่งตราหน้าเรียกขานทรัมป์ว่าเป็นศัตรูของประชาธิปไตย และพวกเผด็จการฟาสซิสต์ กลับไม่มีมนตร์จับใจให้ผู้ออกเสียงเชื่อว่ามันเป็นประเด็นปัญหาสำคัญที่สุดของการเลือกตั้งคราวนี้ เช่นเดียวกับการที่เธอพยายามหาเสียงกับผู้หญิงและชูประเด็นสิทธิการทำแท้ง ถึงแม้ผลโพลชี้ว่าสามารถดึงคะแนนเสียงให้เธอเพิ่มขึ้นได้บ้าง ทว่าก็ยังคงไม่เพียงพอที่จะทำให้เธอเอาชนะทรัมป์ได้สำเร็จ
ในอีกด้านหนึ่ง ทีมรณรงค์หาเสียงของทรัมป์เปิดเผยเมื่อวันพุธ (6) ว่า อีกไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ ทรัมป์จะเลือกบุคคลที่จะมาเป็นรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่สำคัญๆ ในคณะบริหารของเขา
ทรัมป์เองให้สัญญาไว้ก่อนหน้านี้ว่า อีลอน มัสก์ ซีอีโอเทสลาและมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก รวมทั้งยังเป็นผู้บริจาคสำคัญแก่ทีมหาเสียงของเขา และโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี้ อดีตผู้สมัครอิสระชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งหันมาสนับสนุนเขา จะมีบทบาทในคณะบริหารชุดใหม่
เจมี ไดมอน ซีอีโอของเจพีมอร์แกน เชส และจอห์น พอลสัน ผู้จัดการกองทุนบริหารความเสี่ยง ก็ถูกคาดการณ์ว่า อาจได้รับการชักชวนให้เข้าร่วมคณะบริหารของทรัมป์ ขณะที่อดีตเจ้าหน้าที่ทรัมป์ 1.0 อย่างโรเบิร์ต โอไบรเอน อาจกลับมาทำงานให้ทรัมป์อีกครั้ง
อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวคนหนึ่งเปิดเผยเมื่อวันพุธว่า ไดมอนจะยังคงทำงานกับเจพีมอร์แกน เชส และไม่มีแผนเข้าร่วมคณะบริหารของทรัมป์
(ที่มา : รอยเตอร์/เอเจนซีส์)