(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)
North Korean troops in Kursk could backfire on Moscow, Pyongyang
by Stephen Bryen
26/10/2024
การเอากองทหารเกาหลีเหนือไปช่วยรัสเซียทำศึกกับยูเครนที่รุกเข้ามาในแคว้นคูร์สก์ ในสภาพที่กองกำลังโสมแดงขาดไร้ประสบการณ์การสู้รบ และอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ล้าสมัย โดยที่โอกาสได้รับการฝึกในรัสเซียก็อยู่ในระดับต่ำสุด แถมส่วนใหญ่ยังพูดภาษารัสเซียไม่ได้ ทำให้เกิดคำถามเรื่องการประสานงานและเข้ากันได้กับระบบที่ทันสมัยกว่ามากของแดนหมีขาว เหล่านี้จึงน่าจะกลายเป็นการมอบโอกาสให้แก่ฝ่ายยูเครนในการเข่นฆ่าทหารของคิม จองอึน เป็นจำนวนมาก จนอาจสั่นคลอนระบอบปกครองตระกูลคิมในเกาหลีเหนือ และสร้างความเสียหายให้แก่ความเป็นพันธมิตรกันระหว่างเกาหลีเหนือกับรัสเซีย
ไม่มีข้อสงสัยอะไรมากมายอีกต่อไปแล้วในเรื่องที่ว่ามีกองทหารเกาหลีเหนือกำลังเข้ารับการฝึกอยู่ในดินแดนภาคตะวันออกไกลของรัสเซีย
พวกหน่วยงานข่าวกรองฝ่ายตะวันตกพากันทำนายว่า ทหารเหล่านี้บางส่วนจะเข้าปฏิบัติหน้าที่สู้รบในแคว้นคูร์สก์ (Kursk) เร็วๆ นี้
ถ้าหากมันจบลงด้วยการที่พวกเขาทำอย่างที่ว่ามานี้ ก็อาจจะสร้างผลสะท้อนกลับอย่างเลวร้ายต่อฝ่ายรัสเซีย นอกจากนั้นแล้วยังสามารถที่จะสั่นคลอนเสถียรภาพของระบอบปกครองตระกูลคิมในกรุงเปียงยางอีกด้วย
เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องคอยระลึกเอาไว้ว่า คูร์สก์ นั้นเป็นดินแดนของรัสเซีย มันเป็นการที่ฝ่ายยูเครนต่างหากที่เข้าไปรุกรานคูร์สก์ จากสิ่งที่เรามีความเข้าใจกันนั้น ฝ่ายยูเครนกำลังสูญเสียกำลังคนและอาวุธยุทโธปกรณ์เป็นจำนวนมาก และกำลังถูกผลักดันอย่างเป็นระบบถึงแม้จะเป็นไปอย่างเชื่องช้า ให้ต้องถอยออกมาจากเขตหมู่บ้านต่างๆ ในพื้นที่คูร์สก์
ทหารเกาหลีเหนือจำนวน 3,000 คน หรือแม้กระทั่งถึง 10,000 คนซึ่งว่ากันว่าจะถูกส่งไปช่วยรัสเซียสู้รบกับยูเครนในแคว้นคูร์สก์ นั้น เอาเข้าจริงก็ไม่น่าสร้างความแตกต่างอะไรขึ้นมาในสมรภูมิได้หรอก ปกติแล้วหน่วยกองพลน้อยสู้รบ (combat brigade) ของรัสเซียจะมีกำลังทหารราบราวๆ 8,000 คน ดังนั้นคุณูปการที่จะได้จากทหารเกาหลีเหนือก็จะอยู่ที่ราวๆ กำลังพล 1 กองพลน้อยในสนามรบ
เท่าที่จับจ้องสังเกตกันมาจนกระทั่งถึงเวลานี้ ทหารเกาหลีเหนือเหล่านี้เป็นทหารราบ พวกเขาไม่ได้ดูท่าจะมียานเกราะ (ไม่ว่าจะเป็นรถถัง, ยานสู้รบทหารราบ, รถสายพลลำเลียงพลหุ้มเกราะ) หรือปืนใหญ่มาด้วย พวกเขายังดูจะได้รับการอบรมเกี่ยวกับยุทธวิธีต่างๆ ของฝ่ายรัสเซียแบบขั้นต่ำที่สุด รวมทั้งส่วนใหญ่ของพวกเขาก็พูดภาษารัสเซียไม่ได้
ถ้าหากชาวเกาหลีเหนือเหล่านี้ทำการสู้รบบนดินแดนรัสเซียจริงๆ พวกเขาก็ไม่ถือว่าเป็นทหารรับจ้างอย่างที่มีรายงานข่าวบางกระแสเสนอแนะ ฝ่ายตะวันตกรวมๆ กันแล้วได้จัดหาจัดส่งทหารรับจ้างจำนวนราว 13,000 คนไปยังยูเครน แล้วยังมีทหารไม่สวมเครื่องแบบอีกจำนวนเท่าใดไม่มีใครทราบซึ่งทำงานเป็นที่ปรึกษา และเป็นผู้ชำนาญการในปฏิบัติการใช้ระบบป้องกันภัยทางอากาศและการติดต่อสื่อสารที่ทรงความสำคัญยิ่งยวด ตลอดจนภารกิจการบัญชาการและควบคุม
สภาดูมา (Duma) ของรัสเซีย เพิ่งอนุมัติให้สัตบาบันข้อตกลงการทหารที่ทำไว้กับเกาหลีเหนือ ซึ่งมีเนื้อหาระบุให้จัดหาจัดส่งความช่วยเหลือแบบช่วยตัวเองให้แก่กันและกันในกรณีที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกโจมตี การที่ยูเครนรุกล้ำเข้าไปในแคว้นคูร์สก์นั้นมีความหมายเท่ากับเป็นการรุกรานทางภาคพื้นดินต่อดินแดนรัสเซีย และด้วยเหตุนี้มันก็จะเป็นชนวนให้สามารถบังคับใช้ข้อตกลงการป้องกันร่วมกันระหว่าง สปปก. (สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี -ชื่ออย่างเป็นทางการของเกาหลีเหนือ) กับ รัสเซียฉบับนี้ได้
ไม่มีใครทราบอะไรมากมายเกี่ยวกับเรื่องการทหารของเกาหลีเหนือ พวกเขาไม่ได้สู้รบในสมรภูมิภาคพื้นดินที่มีผลพ่วงต่อเนื่องใดๆ เลยมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว นับตั้งแต่มีการทำข้อตกลงหยุดยิงซึ่งได้ยุติการสู้รบในสงครามเกาหลี (Korean War) เมื่อปี 1953 ไม่ว่าจะใช้เกณฑ์วัดใดๆ ก็ตามที กองทัพเกาหลีเหนือ ซึ่งเรียกชื่อกันว่า กองทัพประชาชนเกาหลี ก็ต้องถือว่าเป็นกองทัพที่ขาดไร้ประสบการณ์ และส่วนใหญ่ที่สุดขาดไร้ยุทโธปกรณ์สมัยใหม่
เกาหลีเหนือมีรถถังที่หลักๆ แล้วล้าสมัยมาก แต่รถถังเหล่านี้ไม่ได้ปรากฏตัวอยู่ในรัสเซียด้วย พวกเขามีปืนใหญ่จำนวนมหาศาล ทว่าระบบปืนใหญ่ตลอดจนระบบจรวดหลายลำกล้องของพวกเขาก็ไม่ได้ถูกพบเห็นในรัสเซียด้วยเช่นกัน ในเรื่องเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสาร และการบัญชาการและควบคุมสั่งการของกองทัพ สปปก.ก็ไม่เป็นที่ทราบอะไรกันนัก แต่มีความเป็นไปได้มากว่ามันก็จะค่อนข้างตกรุ่น สภาพของกองทหารเช่นนี้จะสามารถเชื่อมต่ออะไรได้ยังไงกับระบบของรัสเซียที่ทันสมัยกว่าแยะยังคงเป็นคำถามปลายเปิด
ฝ่ายยูเครนกำลังป่าวร้องเล่นข่าวเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของกองทหารเกาหลีเหนือในคูร์สก์ ด้วยเหตุผลง่ายๆ ประการเดียว กล่าวคือ (ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์) เซเลนสกี และ (พล.ท.คีรีโล) บูดานอฟ (Kyrylo Budanov) เจ้ากรมใหญ่ฝ่ายข่าวกรองทหารของเขา ต้องการให้ฝ่ายตะวันตกส่งทหารเข้าไปยังยูเครนเพื่อปกปักรักษาให้พวกเขารอดพ้นจากความปราชัยพ่ายแพ้ พวกเขามองการมาถึงของกองทหารเกาหลีเหนือว่าสามารถใช้เป็นเหตุผลข้อโต้แย้งอันแข็งแกร่งสำหรับที่ นาโต้ หรือส่วนประกอบต่างๆ ของนาโต้ จะจัดส่งกองกำลังภาคพื้นดินเข้าไปยังยูเครน
ภายในนาโต้นั้นยังไม่มีความคิดเห็นอย่างเป็นฉันทามติใดๆ ในเรื่องการนำเอายูเครนเข้าเป็นสมาชิกรายหนึ่งของกลุ่มพันธมิตรทางทหารแห่งนี้ หรือการจัดส่งทหารอย่างเปิดเผยเข้าสู่ยูเครน เป็นความจริงที่ว่าฝรังเศสแสดงความนิยมชื่นชอบกับทั้ง 2 เรื่องนี้ ทว่าทางเยอรมนีและทางโปแลนด์ไม่ได้คิดเช่นนั้น แล้วสมาชิกนาโต้อื่นๆ จำนวนมากก็ไม่ได้คิดอย่างนั้นเหมือนกัน กระนั้น มันก็อาจจะเป็นอย่างเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในกรณีของสงครามอิรัก คณะบริหารสหรัฐฯชุดปัจจุบันรวมทั้งทางสหราชอาณาจักรและทางฝรั่งเศส อาจพยายามหาทางรวบรวมพวกที่เห็นพ้องต้องกันมาจัดตั้งขึ้นเป็นกลุ่มสัมพันธมิตรของผู้ที่มีความเต็มอกเต็มใจ (Coalition of the Willing) เพื่อที่จะทำเรื่องเช่นนี้ให้สำเร็จ ทั้งนี้พวกเขาจำเป็นต้องโน้มน้าวหุ้นส่วนที่ยังลังเลอยู่บางรายให้สนับสนุนการเสี่ยงโชคดังกล่าวนี้ โดยที่บางรายยังไงเสียก็จะไม่เอาด้วย ซึ่งรายที่สำคัญที่สุดน่าจะเป็นเยอรมนีและโปแลนด์นั่นเอง
กลุ่มสัมพันธมิตรของผู้ที่มีความเต็มอกเต็มใจเช่นนี้ จำเป็นต้องตั้งฐานจำนวนหนึ่งในโปแลนด์ เพื่อดำเนินการในเรื่องเกี่ยวกับกองทหารและยุทธสัมภาระต่างๆ ทางโปแลนด์ไม่ต้องการที่จะถูกโจมตีจากพวกขีปนาวุธรัสเซียและลูกระเบิดติดระบบนำวิถีของรัสเซีย ดังนั้น ถึงแม้วอร์ซอว์เวลานี้ตั้งท่าแสดงท่วงทีองอาจหาญกล้า แต่โอกาสที่โปแลนด์จะให้ความสนับสนุนอย่างแข็งขันนั้นเกือบจะเป็นศูนย์ทีเดียว
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า วลาดิมีร์ ปูติน กำลังยั่วยุสบประมาทสหรัฐฯด้วยเรื่องภัยคุกคามที่จะนำทหารเกาหลีเหนือเข้ามาสู้รบในยูเครน แน่นอนอยู่แล้วว่า ปูติน ต้องทราบเป็นอย่างดีว่าการให้กองทหารเกาหลีเหนือออกปฏิบัติการต่างๆ กันจริงๆ จะกลายเป็นภาระทั้งในด้านการส่งกำลังบำรุงและในด้านยุทธการ
มันอาจจะเป็นการให้โอกาสแก่ฝ่ายยูเครนในการเข่นฆ่าทหารเกาหลีเหนือให้ได้มากๆ –เพื่อเป็นการทำลายแทนที่จะเป็นการสนับสนุนความเป็นพันธมิตรใหม่ๆ หมาดๆ ระหว่างเกาหลีเหนือกับรัสเซีย ในทำนองเดียวกัน ผลลัพธ์ที่ออกมาอย่างเลวร้ายและการมีทหารบาดเจ็บล้มตายจำนวนมากก็จะเป็นสั่นคลอนและบั่นทอนเสถียรภาพของระบอบปกครองคิม ซึ่งเป็นระบบเผด็จการหฤโหดที่นำโดยตระกูล และเป็นระบอบปกครองซึ่งไม่มีหนทางในทางปฏิบัติใดๆ ที่จะหยั่งรู้ว่าตนเองมีความมั่นคงปลอดภัยแท้จริงแค่ไหนจากประชาชนของพวกเขาเอง
เวลาเดียวกัน ฝ่ายยูเครนก็แทบไม่ต้องมีความหวาดกลัวใดๆ เลยกับการใช้ทหารเกาหลีเหนือมาสู้รบ การบริหารจัดการกับกองทหารเหล่านี้จะกลายเป็นเรื่องยุ่งเหยิงวุ่นวายสำหรับฝ่ายรัสเซีย และอาจสร้างความสะดุดติดขัดแทนที่จะช่วยเหลืออำนวยความสะดวก ให้แก่ความพยายามของรัสเซียในการตีชิงดินแดนในแคว้นคูร์สก์กลับคืน
แน่นอนอยู่แล้วว่าพวกผู้นำยูเครนทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี แต่พวกเขาก็ยังคงวาดหวังว่าความช่วยเหลือจะมาจากชาตินาโต้บางราย ซึ่งจะกอบกู้ให้พวกเขารอดชีวิตจากสงครามที่พวกเขากำลังพ่ายแพ้ และพวกเขาสามารถจินตนาการให้กองทหารเกาหลีเหนือกลายเป็นตั๋วใบสำคัญที่จะช่วยนำพาพวกเขาให้หลุดพ้นออกจากความวิบัติหายนะ
สตีเฟน ไบรเอน เคยเป็นผู้อำนวยการฝ่ายเจ้าหน้าที่ของคณะอนุกรรมการตะวันออกใกล้ แห่งคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ของวุฒิสภาสหรัฐฯ รวมทั้งเคยเป็นรองปลัดกระทรวงกลาโหมด้านนโยบายของสหรัฐฯ
ข้อเขียนนี้หนแรกสุดเผยแพร่อยู่ใน Weapons and Strategy ที่เป็นบล็อกบนแพลตฟอร์ม Substack ของผู้เขียน