ผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดโดยรอยเตอร์/อิปซอสที่เผยแพร่วานนี้ (29 ต.ค.) พบว่ารองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครต มีคะแนนนิยมนำ โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกันอยู่เพียงแค่ 1 จุด คือ 44% ต่อ 43% ในช่วงหนึ่งสัปดาห์สุดท้ายก่อนถึงศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 5 พ.ย.
ผลสำรวจซึ่งใช้เวลาจัดทำ 3 วัน และเสร็จสิ้นเมื่อวันอาทิตย์ (27) พบว่า การขับเคี่ยวระหว่างผู้สมัครประธานาธิบดีจาก 2 พรรคใหญ่ยังคงดุเดือด และเนื่องจากโพลมีค่าความผิดพลาดบวกลบไม่เกิน 3% จึงยังไม่สามารถชี้ชัดลงไปได้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะตัวจริง
แม้ว่า แฮร์ริส จะมีคะแนนนำ ทรัมป์ ในผลสำรวจรอยเตอร์/อิปซอสทุกฉบับที่ผ่านมานับตั้งแต่เธอประกาศตัวลงสู่ศึกเลือกตั้งในช่วงเดือน ก.ค. ทว่าส่วนต่างของคะแนนนิยมก็เริ่มหดแคบลงเรื่อยๆ ตั้งแต่ปลายเดือน ก.ย. โดยผลสำรวจฉบับก่อนหน้าซึ่งจัดทำเมื่อวันที่ 16-21 ต.ค. พบว่า แฮร์ริส มีคะแนนนิยมนำ ทรัมป์ อยู่เพียง 2 จุดเท่านั้น
สำหรับโพลล่าสุดซึ่งสอบถามความคิดเห็นชาวอเมริกันวัยผู้ใหญ่ทั่วประเทศ 1,150 คน รวมถึงผู้ลงทะเบียนใช้สิทธิเลือกตั้ง 975 คน แสดงให้เห็นว่า ทรัมป์ นั้นได้เปรียบ แฮร์ริส อยู่ในหลายประเด็นที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเห็นว่าเป็นปัญหาใหญ่
เมื่อถามว่าระหว่างผู้สมัครทั้ง 2 รายใครที่มีแนวทางแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ การว่างงาน และตำแหน่งงานดีกว่ากัน? ผู้ตอบแบบสอบถามเลือก ทรัมป์ 47% และเลือก แฮร์ริส เพียง 37%
นอกจากนี้ ทรัมป์ ยังมีภาษีดีกว่าในแง่ของการชูนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจตลอดการหาเสียง โดยผู้ตอบแบบสอบถาม 26% เห็นเรื่องงานและเศรษฐกิจเป็นปัญหาเร่งด่วนที่สุดสำหรับสหรัฐฯ ในตอนนี้ รองมาลงได้แก่เรื่องแนวคิดสุดโต่งทางการเมือง 24% และปัญหาผู้อพยพ 18%
จุดแข็งที่สุดของ ทรัมป์ ในเชิงนโยบายก็คือการรับมือคลื่นผู้อพยพ ซึ่งเขาเสนอให้ใช้มาตรการแข็งกร้าว เช่น การบังคับเนรเทศหมู่ผู้อพยพที่เข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย เป็นต้น โดยผลสำรวจพบว่าผู้ตอบแบบสอบถาม 48% มองว่า ทรัมป์ เสนอแนวทางแก้ปัญหาผู้อพยพได้ดีที่สุด ขณะที่ แฮร์ริส มีคะแนนนิยมในส่วนนี้เพียง 33%
ยิ่งไปกว่านั้น ผลสำรวจยังพบว่าจุดแข็งของ แฮร์ริส เรื่องการต่อต้านลัทธิสุดโต่งทางการเมืองเริ่มที่จะอ่อนแรงลง โดยแม้ว่าผู้ตอบแบบสอบถาม 40% จะยังคงเห็นว่า แฮร์ริส เสนอแนวทางจัดการลัทธิสุดโต่งทางการเมืองและภัยคุกคามต่อระบอบประชาธิปไตยได้ดีกว่า แต่ก็มีถึง 38% ที่เลือก ทรัมป์ ซึ่งส่วนต่างเพียง 2 จุดนี้ถือว่าหดแคบลงมากเมื่อเทียบกับโพลช่วงวันที่ 16-21 ต.ค. ที่ แฮร์ริส เคยเป็นฝ่ายนำ ทรัมป์ ถึง 7 จุด
แฮร์ริส พยายามตอกย้ำให้คนอเมริกันรำลึกถึงบทบาทของ ทรัมป์ ในเหตุจลาจลที่อาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค. ปี 2021 ซึ่ง ทรัมป์ ได้กล่าวปราศรัยปลุกเร้าฝูงชนให้พยายามล้มผลเลือกตั้งที่ โจ ไบเดน เป็นฝ่ายชนะ ในขณะที่ ทรัมป์ โต้กลับว่า แฮร์ริส มีมุมมองที่สุดโต่ง และหากเธอชนะการเลือกตั้งก็เท่ากับว่าสถาบันต่างๆ ของสหรัฐฯ จะอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้นำที่มีแนวคิดแบบสังคมนิยม (socialist)
รอยเตอร์ชี้ว่า ส่วนต่างคะแนนนิยมของ แฮร์ริส ในขณะนี้อาจไม่เพียงพอที่จะทำให้เธอชนะศึกเลือกตั้ง ต่อให้ยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปจนถึงวันที่ 5 พ.ย.ก็ตาม
แม้ผลสำรวจระดับชาติ ซึ่งรวมถึงโพลรอยเตอร์/อิปซอส จะช่วยนำเสนอสัญญาณที่สำคัญๆ เกี่ยวกับมุมมองของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง แต่สิ่งที่จะเป็นตัวตัดสินจริงๆ ก็คือจำนวนองค์คณะผู้เลือกตั้ง (electoral college) ของแต่ละรัฐที่ใครจะได้ไปมากกว่ากัน โดยคาดว่าผลเลือกตั้งใน 7 รัฐสมรภูมิจะเป็นตัวชี้ขาด
ทรัมป์ เคยสร้างประวัติศาสตร์เอาชนะ ฮิลลารี คลินตัน จากพรรคเดโมแครตมาแล้วในศึกเลือกตั้งปี 2016 ด้วยจำนวนคณะผู้เลือกตั้งที่มากกว่า แม้ว่า คลินตัน จะเป็นฝ่ายชนะป็อปปูลาร์โหวตถึง 2% ก็ตาม
ที่มา : รอยเตอร์