ถึงแม้อิสราเอลไม่เคยประกาศเป็นโยบายอย่างเป็นทางการของตน แต่พวกนักวิเคราะห์กำลังชี้ว่า ข้อเสนอของอดีตนายพลกองทัพยิวกลุ่มหนึ่งที่ให้ปิดล้อมพื้นที่ตอนเหนือของฉนวนกาซาอย่างเบ็ดเสร็จ เพื่อจะได้กวาดล้างพวกนักรบฮามาส กำลังเป็นที่ยอมรับของอิสราเอลมากขึ้นเรื่อยๆ มิหนำซ้ำสมาชิกบางคนในรัฐบาลผสมชุดปัจจุบันของรัฐยิว ยังเรียกร้องอย่างเปิดเผยให้คนอิสราเอลกลับเข้าไปตั้งถิ่นฐานในฉนวนกาซาอีกคำรบหนึ่ง ทั้งนี้ กาซาเคยถูกอิสราเอลยึดครองเอาไว้ในปี 1967 และยังคงมีทหารประจำการอยู่ที่นั่น ตลอดจนนำพลเมืองชาวยิวไปตั้งถิ่นฐาน จวบจนกระทั่งถึงปี 2005 นั่นแหละจึงได้ยอมถอนตัวออกมา
ชาวปาเลสไตน์จำนวนมากที่พยายามหนีออกจากตอนเหนือของกาซาในเวลานี้ บอกว่า รู้สึกสิ้นหวังและไม่สามารถหนีไปไหนได้ หลังจากติดอยู่ในบริเวณที่เป็นเป้าหมายการโจมตีอย่างหนักหน่วงของอิสราเอล ก่อนได้รับคำสั่งให้อพยพ แต่แล้วก็กลับถูกต้อนและไล่จับโดยทหารยิว
ไซดา วัย 46 ปี เล่าว่า หนีจากโรงเรียนของสหประชาชาติ ในค่ายผู้ลี้ภัยจาบาเลีย ที่ถูกแปลงเป็นที่หลบภัย พร้อมกับแม่และลูกอีก 4 คน แต่ทหารอิสราเอลสั่งให้เธอรอ 3 ชั่วโมงที่จุดตรวจ แถมบังคับให้ลูกชายวัย 15 ปีของเธอถอดเสื้อผ้า และเค้นถามว่า รู้จักพวกนักรบฮามาสหรือไม่
เนวิน อัล-ดาวาซาห์ นักฉุกเฉินการแพทย์ เล่าคล้ายกันว่า ติดอยู่ 16 วันในค่ายจาบาเลีย ที่เป็นเป้าหมายการโจมตีอย่างรุนแรงของกองทัพอิสราเอลนับจากต้นเดือนตุลาคม กระทั่งในที่สุดโดรนของกองทัพยิวที่ติดตั้งลำโพงประกาศให้อพยพ แต่เมื่อเธอและคนอื่นๆ กำลังออกจากที่หลบภัย อยู่ๆ ก็มีการโจมตีด้วยปืนใหญ่ทำให้มีคนบาดเจ็บล้มตาย
ดาวาซาห์เสริมว่า รู้สึกว่าต้องถ่ายวิดีโอผู้ได้รับบาดเจ็บเก็บไว้ เนื่องจากนักข่าวไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในพื้นที่ตอนเหนือของกาซาที่เสียหายหนักอยู่แล้วจากการโจมตีอย่างต่อเนื่องของอิสราเองในช่วงเวลากว่า 1 ปีของสงครามที่ปะทุขึ้นจากการที่นักรบฮามาสบุกเข้าไปโจมตีในอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ต.ค.
หน่วยงานป้องกันภัยพลเรือนของกาซารายงานเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 400 คนจากการโจมตีไม่หยุดหย่อนของอิสราเอลที่เริ่มต้นมาตั้งแต่วันที่ 6 ที่ผ่านมา ซึ่งทางกองทัพยิวอ้างว่า มุ่งโจมตีนักรบฮามาสที่ไปซ่องสุมกำลังใหม่ในบริเวณดังกล่าว
ดาวาซาห์เล่าต่อว่า เมื่อออกจากค่ายจาบาเลีย จะต้องผ่านจุดตรวจของอิสราเอลที่จะแยกผู้หญิงกับผู้ชายคนละฝั่งและค้นตัว และตลอดถนนสายหลักมีการตั้งจุดตรวจหลายแห่ง ซึ่งมักล้อมด้วยรถถังและยานยนต์หุ้มเกราะ กองทัพอิสราเอลยังติดตั้งกล้องและอาวุธอัตโนมัติไว้ตามหอสังเกตการณ์อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม อิสมาอิล ทาวับเตห์ โฆษกรัฐบาลฮามาส ยืนยันว่า ชาวปาเลสไตน์ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ทางตอนเหนือของกาซา ไม่ได้พากันหนีออกมาอย่างที่เป็นข่าว และสำทับว่า อิสราเอลสังหารผู้ชายปาเลสไตน์จำนวนมาก รวมทั้งจับกุมด้วยวิธีการที่ทำให้คนเหล่านั้นอับอาย
หน่วยงานผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ของยูเอ็น (UNRWA) ประเมินว่า ยังมีชาวปาเลสไตน์ทางตอนเหนือของกาซา ซึ่งรวมถึงกาซาซิตี้ อยู่ราว 400,000 คน
หน่วยงานประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลฮามาสเรียกร้องให้นานาชาติหยุดยั้งอาชญากรรมการบังคับย้ายถิ่น การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และการสังหารหมู่ในตอนเหนือของกาซา
การระดมโจมตีด้วยปืนใหญ่อย่างต่อเนื่องและถนนที่เสียหายทำให้หน่วยฉุกเฉินและรถพยาบาลไม่สามารถเข้าถึงผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต
ขณะเดียวกัน กระทรวงสาธารณสุขปาเลสไตน์รายงานว่า โรงพยาบาลตอนเหนือของกาซาที่ยังเปิดให้บริการได้เหลือเพียงแห่งเดียว แต่ไม่มีทั้งยาและอุปกรณ์การแพทย์
คามัล อัดวาน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลฮอสซัม อาบู ซาเฟียบอกว่า คนมากมายถูกเข่นฆ่า แต่ทางโรงพยาบาลช่วยอะไรไม่ได้ ต้องทิ้งศพเกลื่อนกลาดบนถนน
(ที่มา : เอเอฟพี, เอพี, เอเจนซีส์)