เอเอฟพี/เอเจนซีส์/MGRออนไลน์ - พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 และพระราชินีคามิลลา เสด็จพระราชดำเนินเยือนรัฐสภาออสเตรเลียที่กรุงแคนเบอร์ราวันที่ 2 วันนี้ (21 ต.ค.) ส.ว.สายอะบอริจินลิ เดีย ธอร์ป (Lidia Thorpe) ประท้วงต้านตะโกนต่อต้าน พร้อมเรียกร้องสนธิสัญญาระหว่างรัฐบาลแคนเบอร์ราและชนพื้นเมืองออสเตรเลีย ก่อนโดนหน่วยความมั่นคงออสเตรเลียตะครุบได้ก่อนที่จะถึงตัวสำเร็จ
เอเอฟพีรายงานวันนี้ (21 ต.ค.) ว่า ในการเสด็จพระราชดำเนินเยือนออสเตรเลียเป็นวันที่ 2 พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 และพระราชินีคามิลลาแห่งสหราชอาณาจักรอังกฤษทรงเสด็จไปเยือนกรุงแคนเบอร์ราวันจันทร์ (21) หลังการเสด็จพระราชดำเนินเมืองซิดนีย์ รัฐนิวเซาท์เวลส์ อย่างเป็นทางการวันอาทิตย์ (20) เริ่มต้นขึ้นด้วยการเสด็จลงโบสถ์
แต่อย่างไรก็ตาม อ้างอิงจากเดอะการ์เดียนของอังกฤษชี้ว่า ทั้ง 2 พระองค์ทรงรีบเสด็จออกไปจากงานการถวายพระกระยาหารกลางวันหลังจากเริ่มต้นไปเพียง 10 นาทีเท่านั้นโดยที่ไม่ทราบสาเหตุ และทั้ง 2 พระองค์ทรงปรากฏพระองค์สู่สาธารณะอีกครั้งในวันจันทร์ (21)
ซึ่งเป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยือนออสเตรเลียเป็นครั้งแรกในรัชสมัยตั้งแต่การขึ้นครองราชย์ท่ามกลางการประชวรโรคมะเร็งที่มีรายงานว่าพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ทรงหยุดการรักษาอาการประชวรเป็นเวลา 11 วันระหว่างการเสด็จพระราชดำเนินมายังออสเตรเลียและประเทศซามัวในดินแดนมหาสมุทรแปซิฟิกและโอเชียเนียเป็นระยะเวลา 9 วัน
ซึ่งในการเสด็จรอบนี้หมายกำหนดการในแต่ละวันไม่ชัดเจน และสื่อโทรทัศน์ออสเตรเลียชี้ว่าเป็นหมายกำหนดการแบบลดทอนลง และพบว่าในทริปนี้มีการนำแพทย์ส่วนพระองค์ 2 คน
หนึ่งในวันที่วุ่นวายมากที่สุดของหมายนั้นศูนย์กลางอยู่ที่รัฐสภาออเตรเลีย “เกรต ฮอลล์” (Great Hall)
ทั้งนี้ พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 เรียกร้องให้ออสเตรเลียซึ่งเป็นชาติที่มีปัญหาด้านโลกร้อนให้เดินหน้าการลดการพึ่งพาทางการทำเหมืองแร่และถ่านหินเพื่อให้แดนจิงโจ้ยังคงเป็นผู้นำทางการแข่งขันการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
“มันอยู่ในผลประโยชน์ของพวกเราทั้งหมดที่ต้องเป็นผู้ช่วยที่ดีของโลก” พระเจ้าชาร์ลส์ตรัสท่ามกลางเสียงปรบมือกึกก้อง
ทั้งนี้ ทรงถูกยกย่องในฐานะพระราชาแห่งการรณรงค์ทางสภาพอากาศได้ตรัสต่อว่า "ความมโหฬารและความรุนแรงของภัยพิบัติของธรรมชาตินั้นกำลังเริ่งฝีเท้ามากขึ้น" โดยพระองค์กล่าวว่า สิ่งนี้เป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโลกอย่างไม่ต้องสงสัย
เอเอฟพี และมาถึงไคลแม็กซ์ในขณะที่พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ทรงกำลังตรัสชื่นชมต่อ “ชนเผ่าพื้นเมืองออสเตรเลียที่เป็นเจ้าของวัฒนธรรมของดินแดน” ผู้ที่รักและดูแลทวีปแห่งนี้มาเป็นเวลานานถึง 65,000 ปี
แต่ทว่าเสียงปรบมือนั้นกลายเป็นความโกลหลเมื่อ ลิเดีย ธอร์ป (Lidia Thorpe) ส.ว.เชื้อสายชนพื้นเมือง และเป็น ส.ว.ออสเตรเลียสายอิสระตะโกนเสียงดังว่า “เอาแผ่นดินพวกเราคืนมา!”
และเสริมว่า
“นี่ไม่ใช่แผ่นดินของคุณ คุณไม่ใช่กษัตริย์ของดิฉัน” ส.ว.ธอร์ปกล่าว พร้อมเธอได้ชี้ถึงการกระทำของอดีตจักรวรรดิอังกฤษที่เธอเรียกขานว่าเป็น “นักตั้งอาณานิคมยุโรป” (European settler) ที่กระทำต่อชนพื้นเมืองอะบอริจิน และชาวเกาะช่องแคบทอร์เรส ของแดนจิงโจ้เป็น “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์”
เดอะการ์เดียนของอังกฤษชี้ว่า การเสด็จพระราชดำเนินเยือนออสเตรเลียครั้งแรกในฐานะกษัตริย์ของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 และการเสด็จไปยังรัฐสภาออสเตรเลียวันจันทร์ (21) นั้นเป็นเสมือนสัญลักษณ์ที่แดนจิงโจ้คงอยู่ภายใต้เครือจักรภพอังกฤษ (Commonwealth of Nations) ที่มีพระมหากษัตริย์ของอังกฤษเป็นพระประมุขแห่งรัฐและมีสมาชิกทั้งหมด 56 ประเทศ
ธอร์ปกล่าวอย่างมีอารณมณ์โกรธว่า “...โปรดให้สนธิสัญญาแก่พวกเรา พวกเราต้องการสนธิสัญญาในประเทศแห่งนี้”
เดอะการ์เดียนรายงานว่า ชนเผ่าพื้นเมืองออสเตรเลียที่ผ่านมาได้กดดันเรียกร้องสนธิสัญญาระหว่างรัฐบาลออสเตรเลียและชนพื้นเมืองออสเตรเลียที่รู้จักในนาม First Nations peoples
เป็นการเรียกร้องที่ยาวนานมาตั้งแต่อังกฤษเริ่มต้นเข้ามายึดครองสมัยล่าอาณานิคม และมีการกลับมาเรียกร้องอีกครั้งเมื่อปี 2017
ไม่นานหลังจากนั้น ส.ว.สายชนพื้นเมือง ลิเดีย ธอร์ป ถูกเจ้าหน้าที่ความมั่นคงออสเตรเลียนำตัวเธอออกไปทันทีก่อนที่เธอจะเข้าไปถึงพระองค์ได้ และเธอยังคงตะโกนประท้วงไม่หยุด
ซึ่งในระหว่างเกิดเหตุพบว่าพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ทรงหันไปตรัสหารือเงียบๆ ต่อนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย แอนโธนี อัลบานิส ซึ่งก่อนที่พระเจ้าชาล์ส์ที่ 3 จะประทานพระราชดำรัสต่อหน้าสมาชิกรัฐสภาออสเตรเลียทั้งเขาและผู้นำฝ่ายค้านอังกฤษ ปีเตอร์ ดัตตัน (Peter Dutton) ได้กล่าวถวายการต้อนรับทั้ง 2 พระองค์สู่รัฐสภา พร้อมยังกล่าวสดุดีในการยืนหยัดเคียงข้างออสเตรเลียทั้งในยามทุกข์และยามผาสุก
และนายกรัฐมนตรีอัลบานิส กล่าวว่า เขารู้สึกเป็นเกียรติสูงสุดในชีวิตที่สามารถนำคณะผู้แทนออสเตรเลียเข้าเฝ้าในวันขึ้นครองราชย์ และกล่าวสรรเสริญพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ต่อคุณูปการในด้านการสร้างความปรองดองและการรณรงค์ต่อต้านวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโลกที่กระทบต่อเศรษฐกิจแดนจิงโจ้