ราคาน้ำมันดิ่งลงมากกว่า 4% ในวันอังคาร (15 ต.ค.) แตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 สัปดาห์ จากแนวโน้มอุปสงค์อ่อนแอ และหลังสื่อมวลชนรายงานว่าอิสราเอลจะไม่โจมตีที่ตั้งนิวเคลียร์และน้ำมันของอิหร่าน คลายความกังวลทางอุปทาน ส่วนวอลล์สตรีทปิดลบ ตามแรงฉุดกลุ่มเทคโนโลยี ขณะที่ทองคำปรับขึ้น
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายน ลดลง 3.25 ดอลลาร์ ปิดที่ 70.58 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้านเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนธันวาคม ลดลง 3.21 ดอลลาร์ ปิดที่ 74.25 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล บอกกับสหรัฐฯ ว่าอิสราเอลมีความตั้งใจโจมตีเป้าหมายทางทหารของอิหร่าน ไม่ใช่ที่ตั้งทางนิวเคลียร์และน้ำมัน ตามรายงานของวอชิงตันโพสต์ในช่วงค่ำวันจันทร์ (14 ต.ค.)
ขณะเดียวกัน โอเปกและทบวงพลังงานสากล ในสัปดาห์นี้ ปรับลดคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันของโลกในปี 2024 ส่วนใหญ่แล้วเป็นผลกระทบจากอุปสงค์ที่ลดลงอย่างมากในจีน สืบเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจ
ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดลบในวันอังคาร (15 ต.ค.) แนสแดคขยับลง 1% ตามแรงฉุดกลุ่มเทคโนโลยี ขณะที่หุ้นบรรดาผู้ผลิตชิปทั้งหลายดิ่งลง สืบเนื่องจากความกังวลทางอุปสงค์ เช่นเดียวกับหุ้นกลุ่มพลังงาน
ดาวโจนส์ ลดลง 324.80 จุด (0.75 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 42,740.42 เอสแอนด์พี ลดลง 44.59 จุด (0.76 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 5,815.26 จุด แนสแดค ลดลง 187.10 จุด (1.01 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 18,315.59 จุด
ดัชนีแนสแดคอยู่ภายใต้แรงกดดันโดยเฉพาะจากเอ็นวิเดีย บริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ และเป็นผู้ผลิตชิปชั้นนำสำหรับปัญญาประดิษฐ์ ทั้งนี้หุ้นของเอ็นวิเดียร่วงลง 4.7% หลังปิดระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันจันทร์ (14 ต.ค.) และหลังสื่อมวลชนรายงานว่ารัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน กำลังพิจารณาจำกัดเพดานบรรดาบริษัทอเมริกาจากการส่งออกชิปเอไอ
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังถูกฉุดจากหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังราคาน้ำมันดิบร่วงลงอย่างหนัก สืบเนื่องจากความคาดหมายอุปสงค์อ่อนแอ และหลังจากรายงานข่าวของสื่อมวลชนบ่งชี้ว่าอิสราเอลจะไม่โจมตีเป้าหมายทางน้ำมันของอิหร่าน
ด้านราคาทองคำปรับขึ้นในวันอังคาร (15 ต.ค.) ได้แรงหนุนจากการขยับลงของผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ขณะที่นักลงทุนเฝ้ารอข้อมูลต่างๆ เพิ่มเติมที่จะมอบเงื่อนงำเกี่ยวกับวงจรการผ่อนคลายนโยบายการเงินของเฟด โดยราคาทองคำโคเม็กซ์งวดส่งมอบเดือนธันวาคมเพิ่มขึ้น 13.30 ดอลลาร์ ปิดที่ 2,678.90 ดอลลาร์ต่อออนซ์
(ที่มา : รอยเตอร์)