โดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนรีพับลิกัน และกมลา แฮร์ริส ตัวแทนจากเดโมแครต มีคะแนนนิยมสุดสูสีออกได้ทุกหน้าในทั้ง 7 รัฐสมรภูมิ ที่จะตัดสินผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนหน้า จากผลสำรวจหนึ่งที่จัดทำโดยวอลล์สตรีท เจอร์นัล ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันศุกร์ (11 ต.ค.) ที่ผ่านมา
จากผลสำรวจความเห็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 4,200 ตัวอย่าง พบว่า แฮร์ริส มีคะแนนนิยมนำหน้า ทรัมป์ เล็กน้อยมากๆ ในแอริโซนา จอร์เจีย มิชิแกน วิสคอนซิน ส่วน ทรัมป์ ครองความได้เปรียบเล็กน้อย ในเนวาดา นอร์ทแคโรไลนา และเพนซิลเวเนีย
อย่างไรก็ตาม ด้วยไม่มีรัฐใดยกเว้นเนวาดา ที่มีคะแนนนิยมนำหน้ากันมากกว่า 2% ผลสำรวจนี้จึงอยู่ภายในขอบเขตความคลาดเคลื่อนของวอลล์สตรีท เจอร์นัล ขณะที่ในเนวาดา นั้น ทรัมป์ มีคะแนนนิยมเหนือกว่า แฮร์ริส อยู่ 5 จุด
เมื่อรวมทั้ง 7 รัฐสมรภูมิ ทรัมป์มีคะแนนนิยมนำหน้า แฮร์ริส อยู่ 46% ต่อ 45% และผลสำรวจพบด้วยว่า มีชาวรีพับลิกันถึง 93% ที่สนับสนุน ทรัมป์ เช่นเดียวกับ แฮร์ริส ที่ได้รับการสนับสนุนจากชาวเดโมแครต ในระดับเดียวกัน 93% ขณะที่บรรดาผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีแนวคิดอิสระชื่นชอบ แฮร์ริส มากกว่าเล็กน้อยที่ 40% ต่อ 39%
"มันเป็นการแข่งขันที่ดุเดือด และผลลัพธ์อาจต้องตัดสินกันในวินาทีสุดท้าย ช่วง 3 สัปดาห์ท้ายสุดนั้นมีความสำคัญมาก" เดวิด ลี นักสำรวจรายหนึ่งที่ร่วมจัดทำโพลดังกล่าวบอกกับวอลล์สตรีท เจอร์นัล ส่วน ไมเคล โบเชียน นักสำรวจความคิดเห็นอีกคนกล่าวว่า "คงไม่มีอะไรเฉียดใกล้กว่านี้อีกแล้ว แม้กระทั่งอาจเสมอกัน มันเป็นการแข่งขันที่เข้มข้นมากๆ"
ผลการสำรวจความคิดเห็นหลายสำนักเมื่อเร็วๆ นี้ พบว่า ทรัมป์ และ แฮร์ริส มีคะแนนนิมห่างกันเพียงเล็กน้อยในตัวเลขหลักเดียวในรัฐสำคัญๆ แต่ละรัฐ
บรรดาผู้ตอบแบบสอบถามที่จัดทำโดยวอลล์สตรีท เจอร์นัล พบว่าบรรดาผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งให้ความสำคัญกับประเด็นเศรษฐกิจและผู้อพยพมากที่สุด พวกเขาชอบ ทรัมป์ มากกว่า แฮร์ริส ในประเด็นเศรษฐกิจ ทิ้งห่างกว่า 10 จุด และในประเด็นผู้อพยพและคุ้มกันชายแดน ทิ้งห่าง 16 จุด แต่ทาง แฮร์ริส เอาชนะ ทรัมป์ ในประเด็นทำแท้ง 16 จุด
ในช่วงเวลานี้ ระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งปี 2020 ประธานาธิบดีไบเดน มีคะแนนนิยมนำ ทรัมป์ ในระดับ 5 จุด ในมิชิแกน เพนซิลเวเนีย และวิสคอนซิน โดย ทรัมป์ เคยชนะในทั้ง 3 รัฐสมรภูมินี้เมื่อปี 2016 แต่พ่ายแพ้แก่ ไบเดน ในปี 2020 และในปีนี้การคว้าชัยชนะในทั้ง 3 รัฐ มีแนวโน้มจะเป็นสิ่งการันตีเก้าอี้ประธานาธิบดีของทรัมป์หรือไม่ก็แฮร์ริสอีกครั้ง
(ที่มา : วอลล์สตรีทเจอร์นัล/อาร์ทีนิวส์)