ผู้นำสหรัฐฯ และชาติตะวันออกออกมาประสานเสียงเรียกร้องวานนี้ (11 ต.ค.) ให้อิสราเอลหยุดกระทำอันตรายต่อกองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติในเลบานอน (United Nations Interim Force in Lebanon - UNIFIL) หลังเกิดเหตุโจมตีครั้งล่าสุดซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่กองกำลังรักษาสันติภาพบาดเจ็บไปอีก 2 นาย
กองทัพอิสราเอล (IDF) แถลงยอมรับเมื่อวานนี้ (11) ว่า ทหารของรัฐยิวได้ยิงใส่ “ภัยคุกคาม” ใกล้ๆ ฐานที่ตั้งของกองกำลังรักษาสันติภาพยูเอ็นทางตอนใต้ของเลบานอน พร้อมอ้างว่า “ได้ส่งคำเตือนไปล่วงหน้าหลายชั่วโมง” ให้กองกำลังยูเอ็นเข้าไปหลบในสถานที่ปลอดภัย
ด้านโฆษก UNIFIL ยืนยันว่า มีสมาชิกกองกำลังรักษาสันติภาพจากศรีลังกา 2 นายได้รับบาดเจ็บจากเหตุโจมตี ซึ่งเกิดซ้ำเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 2 วัน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเรียกเสียงตำหนิติเตียนอย่างรุนแรงจากพวกผู้นำตะวันตก โดยประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า ตนได้เรียกร้องไปยังอิสราเอลให้หยุดยิงโจมตีกองกำลังยูเอ็นในเลบานอน ขณะที่ประธานาธิบดี เอมมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส ชี้ว่าการ “จงใจล็อกเป้า” โจมตีกองกำลังสันติภาพยูเอ็นเป็นเรื่องที่ “รับไม่ได้โดยสิ้นเชิง”
กระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศสยังได้เรียกทูตอิสราเอลเข้าพบเพื่อเตือนว่า “การทำเช่นนี้เข้าข่ายละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง และต้องยุติลงทันที”
ด้านนายกรัฐมนตรี จอร์จา เมโลนี แห่งอิตาลี ก็ประณามเหตุยิงโจมตีเจ้าหน้าที่กองกำลังยูเอ็น ซึ่งเธอย้ำว่าเข้าข่ายละเมิดมติสหประชาติและรับไม่ได้ โดยในปัจจุบันอิตาลีมีทหารมากกว่า 1,000 นายปฏิบัติภารกิจอยู่ในเลบานอน
นายกรัฐมนตรี เปโดร ซานเชซ แห่งสเปน เรียกร้องให้ “หยุดใช้ความรุนแรง” ต่อกองกำลังรักษาสันติภาพยูเอ็นในเลบานอน และเตือนว่าการโจมตีเมื่อวันศุกร์ (11) เป็นสิ่งที่ “รับไม่ได้อย่างยิ่ง” เช่นเดียวกับรัฐมนตรีต่างประเทศ ไมเคิล มาร์ติน ของไอร์แลนด์ที่บอกว่า “ช็อก” และรับไม่ได้กับเหตุการณ์นี้ โดยไอร์แลนด์ส่งทหารเข้าร่วมภารกิจ UNIFIL ประมาณ 350 นาย
ที่มา : เอเอฟพี