รอยเตอร์/เอพี/เอเจนซีส์ - ประธานาธิบดีไต้หวัน ไล่ ชิงเต๋อ เปิดแถลงวันเสาร์ (6 ต.ค.) ยืนยันยากที่จะคิดว่าจีนแผ่นดินใหญ่เป็นมาตุภูมิ ด้านธิงแทงก์อเมริกันชื่อดัง สถาบันการปกป้องประชาธิปไตย FDD เตือนไทเปอาจโดนปักกิ่งทำสงครามทางการค้า-ไซเบอร์ปิดล้อมเกาะ หลังเดือนที่ผ่านมากองทัพสหรัฐฯ ออกหลักการต่อต้านภัยคุกคามจีนภายในปี 2027
รอยเตอร์รายงานวานนี้ (5 ต.ค.) ว่า ประธานาธิบดีไต้หวัน ไล่ ชิงเต๋อ แถลงวันเสาร์ (6 ต.ค.) ในคอนเสิร์ตก่อนวันชาติไต้หวันที่จะมีขึ้นในวันที่ 10 ต.ค.
ในการแถลงผู้นำไทเปชี้ว่า จีนเพิ่งผ่านการเฉลิมฉลองวันชาติปีที่ 75 ในวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา และในไม่กี่วันหลังจากนั้นจะเป็นวันชาติไต้หวันปีที่ 113
ประธานาธิบดีไล่กล่าวว่า มันเป็นไปไม่ได้สำหรับไต้หวันที่จะมองจีนเป็นแผ่นดินแม่เพราะไต้หวันมีรากฐานทางการเมืองอายุเก่าแก่กว่า
“ดังนั้นแล้วในเงื่อนไขว่าด้วยอายุ ทำให้เป็นไปไม่ได้สำหรับประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนจะเป็น “มาตุภูมิ” ของสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ที่มีอายุ 75 ปี” ไล่กล่าวท่ามกลางเสียงปรบมือ
และเขากล่าวต่อว่า “หนึ่งในความหมายสำคัญที่สุดของการเฉลิมฉลองเหล่านี้คือพวกเราต้องจำให้ได้ว่าพวกเรามีอธิปไตยและเป็นประเทศเอกราช”
รอยเตอร์รายงานว่า ไล่ถูกปักกิ่งมองว่าเป็น พวกแบ่งแยกดินแดน และก่อนวันชาติจีนเมื่อวันที่ 1 ต.ค. ประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง ได้กล่าวผ่านแถลงการณ์ย้ำว่า รัฐบาลจีนของเขามองไต้หวันเป็นดินแดนของจีน
ขณะเดียวกัน เอพีรายงานว่า รานงานที่เผยแพร่ในวันศุกร์ (4) จากธิงแทงก์สหรัฐฯ ชื่อดังในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สถาบันการปกป้องประชาธิปไตย (Foundation for Defense of Democracies) หรือ FDD ได้เตือนธงแดงว่า มีความเป็นไปได้ที่ปักกิ่งอาจจะใช้วิธีปิดล้อมไต้หวันด้วยการทำสงครามเศรษฐกิจและทางไซเบอร์
เอพีชี้ว่า จากการที่มีชาวไต้หวันอาศัยและทำงานอยู่ในจีนแผ่นดินใหญ่ราว 1 ล้านคนส่งผลทำให้ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจมีความใกล้ชิดเพิ่มขึ้น และส่งผลทำให้มีความเป็นไปได้ต่อการใช้ยุทธวิธีบีบทางเศรษฐกิจบอยคอต และการปิดล้อมทางการทหารซึ่งเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่กว่า
FDD กล่าวในรายงานออกคำเตือนธงสีแดงว่า ปักกิ่งสามารถทำสงครามทางเศรษฐกิจและทางไซเบอร์เพื่อให้ไต้หวันยอมจำนนโดยที่ไม่ต้องใช้กำลังทางการทหารโดยตรงให้เสียเวลา
สถาบันธิงแทงก์อเมริกัน FDD ได้เดินทางมาที่กรุงไทเปและใช้เวลาทำงานร่วมกับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญทางการธนาคารและการเงินในไต้หวันเมื่อไม่นานมานี้
ในการเตรียมพร้อมระหว่างธิงแทงก์อเมริกันและไต้หวัน รวมไปถึงการระดมศึกษายุทธวิธีโจมตีทางพลเรือนจากปักกิ่งเป็นต้นว่า การทำสงครามจิตวิทยาเพื่อสั่นคลอนความเชื่อถือของสาธารณะ สั่งแบนสินค้านำเข้าจากไต้หวัน หรือการขึ้นภาษีนำเข้า ขายหุ้นช็อตเซลล์ไต้หวัน สั่งระงับธุรกรรมทางการเงินข้ามช่องแคบไต้หวัน ตัดสายเคเบิลไฟเบอร์ออปติก และมีเป้าหมายไปที่สินค้านำเข้าทางพลังงานและการบรรจุทางคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
ทั้งนี้ ฟ็อกซ์นิวส์เคยรายงานเมื่อเดือนที่ผ่านมาว่า กองทัพสหรัฐฯ ได้ออกหลักการใหม่มีเป้าหมายเพื่อรับมือในกรณีที่อาจเกิดวามขัดแย้งทางการทหารกับจีนต่อภัยคุกคามทางการทหารของกองทัพปลดแอกจีน PLA ที่เพิ่มขึ้นในไม่กี่ปีข้างหน้า
แผนการทางนาวีสหรัฐฯ ที่เผยแพร่ต่อสาธารณะถูกออกแบบเพื่อให้กองทัพสหรัฐฯ เข้าสู่จุดยืนที่แข็งแกร่งขึ้นเมื่อเผชิญหน้ากับกองทัพปลดแอกจีนภายในปี 2027 ผ่านการเพิ่มกำลังพลและความก้าวหน้าทางยุทธศาสตร์เทคโนโลยี
ในรายงานกล่าวว่า เป้าหมายการปรับปรุงกองทัพเรือสหรัฐฯ ให้ทันสมัยภายในปี 2027 นั้นเกิดขึ้นหลังประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนตั้งเป้าประกาศเตรียมพร้อมกองทัพจีน PLA เพื่อทำสงครามบุกไต้หวันภายในปี 2030
“ความท้าทายโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน PRC ต่อกองทัพเรือสหรัฐฯ ของเราในเวลานี้นั้นไปไกลกว่าแค่ขนาดของฝูงเรือรบกองทัพจีน”
และในอีกช่วงได้กล่าวว่า เมื่อวิเคราะห์ผ่านแนวรบเชิงปฏิบัติ เช่น การทำสงครามหลายโดเมน ทั้ง gray zone และทางเศรษฐกิจ การขยายของการใช้สิ่งปลูกสร้างที่ใช้ได้ทั้ง 2 แง่ (การทหารและการพลเรือน) เป็นต้นว่า ลานบิน และการใช้กองกำลังในกิจการกึ่งทหารเป็นต้นว่า กองกำลังทางน้ำของจีน และการเพิ่มของจำนวนหัวรบนิวเคลียร์ ส่งผลทำให้ชี้ว่า จีนเป็นภัยคุกคามหลายด้านต่อสหรัฐฯ
ขณะเดียวกัน แผนเป้าหมายใหม่ของกองทัพเรือสหรัฐฯ ยังชี้ว่า ในขณะที่ รัสเซีย ยังคงเข้ามาเกี่ยวข้องในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ที่ถึงแม้ตามความเห็นของเพนตากอนจะมองว่า รัสเซียนั้นบาดเจ็บและถูกโดดเดี่ยวจากการความขัดแย้งที่ยังดำเนินกับยูเครน แต่ทว่า “รัสเซีย” ยังคงเป็นภัยคุกคามเชิงปฏิบัติและทางเทคโนโลยี