เกิดเหตุแก๊งอาชญากรถือปืนไรเฟิลจู่โจมเข้าไปเมือง Pont-Sonde ในเขตพื้นที่เกษตรกรรมทางตะวันตกของเฮติเมื่อช่วงเช้ามืดของวันพฤหัสบดี (3 ต.ค.) ก่อนไล่ยิงชาวบ้านเสียชีวิตไปอย่างน้อย 70 คน และทำให้ประชาชนอีกกว่า 6,000 คนต้องพากันอพยพหนีตาย
ลัคสัน เอลัน (Luckson Elan) ซึ่งเป็นหัวหน้าแก๊งอาชญากร แกรน กริฟ (Gran Grif) ได้ออกมาประกาศอ้างความรับผิดชอบต่อเหตุสังหารหมู่ครั้งนี้ และบอกว่าต้องการแก้แค้นพวกชาวบ้านที่ “นิ่งเฉยไม่ทำอะไรเลย” ในขณะที่ตำรวจ และอาสาสมัครเฝ้าระวังไล่ล่าเด็ดหัวกองกำลังของเขา
องค์กรระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) ระบุว่า มีชาวเฮติราว 6,270 คนที่ต้องละทิ้งบ้านเรือนจากเหตุโจมตีครั้งนี้ โดยส่วนใหญ่ได้รับความช่วยเหลือญาติๆ ที่อาศัยอยู่ในเมืองใกล้เคียง ขณะที่บางส่วนต้องอาศัยอยู่ตามค่ายพักชั่วคราว
แก๊งอาชญากรเหล่านี้ยังจุดไฟเผาบ้านเรือนและยานพาหนะของชาวบ้านด้วย ซึ่งถือเป็นเหตุรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งที่เกิดขึ้นในประเทศแถบแคริบเบียนแห่งนี้ที่มีการสังหารหมู่เกิดขึ้นเนืองๆ และพลเรือนผู้บริสุทธิ์แทบไม่เคยได้รับความยุติธรรม
“อาชญากรรมอันชั่วร้ายที่กระทำต่อหญิง ชาย และเด็กๆ ที่ไร้ทางสู้เหล่านี้ไม่เพียงเป็นการทำร้ายเหยื่อ แต่ถือเป็นการโจมตีชาวเฮติทั้งประเทศ” นายกรัฐมนตรี แกร์รี โคนิลล์ โพสต์ข้อความผ่าน X พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลได้ส่งเจ้าหน้าที่ความมั่นคงเข้าไปควบคุมสถานการณ์ในพื้นที่แล้ว
ด้านโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติเฮติบอกกับรอยเตอร์วานนี้ (4) ว่า ผู้บัญชาการตำรวจเขต Artibonite ถูกปลดเป็นที่เรียบร้อย
เหตุสังหารหมู่ครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์ความมั่นคงที่ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ ในเฮติ ซึ่งพวกแก๊งอาชญากรสามารถควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของกรุงปอร์โตแปรงซ์ และกำลังขยายอิทธิพลออกไปยังภูมิภาครอบนอก จนทำให้ประชาชนที่นั่นต้องประสบกับความอดอยากรุนแรงขึ้น และหลายแสนคนไม่มีที่จะอยู่อาศัย
คำสัญญามอบความช่วยเหลือจากนานาชาติยังคงล่าช้า ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านของเฮติก็ยังคงผลักดันผู้อพยพหนีความรุนแรงเหล่านี้กลับไปยังบ้านเกิด
ที่มา : รอยเตอร์