xs
xsm
sm
md
lg

บทเรียนที่ไม่เคยจำ! สื่อนอกชี้เหตุไฟไหม้รถบัสทัศนศึกษา ตอกย้ำภาพ 'ไทย' ไร้ความปลอดภัยบนท้องถนน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ประวัติด้านความปลอดภัยบนท้องถนนอันน่าหวาดหวั่นของไทย ถูกพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียดอีกรอบ ในขณะที่ประเทศแห่งนี้ต้องจมอยู่กับความเศร้าโศก จากเหตุการณ์เด็กนักเรียน 20 คน และครู 3 ราย เสียชีวิต ท่ามกลางเปลวไฟที่ลุกไหม้รถบัสที่มีอายุเก่าเก็บ 50 ปี ตามรายงานของหนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์

เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์รายงานว่า หลังจากเกิดเหตุโปรแกรมทัศนศึกษาทั่วประเทศถูกระงับ ขณะที่เจ้าหน้าที่ประกาศจะทำการตรวจสอบอย่างละเอียดว่าทำไมรถบัสชั้นเดียว ซึ่งกำลังบรรทุกเด็กน้อยและคุณครู 44 คน ถึงลุกติดไฟอย่างรวดเร็ว ตามหลังยางระเบิดเมื่อวันอังคาร (1 ต.ค.) ส่งผลให้เด็กนักเรียนและครูติดอยู่ภายใน

ในวันพุธ (2 ต.ค.) เจ้าหน้าที่นิติเวชกำลังดำเนินการระบุเอกลักษณ์บุคคลเด็กๆ ที่เป็นเหยื่อของเหตุการณ์ ที่สร้างความตกตะลึงและความเศร้าโศกทั้งประเทศไทย ตามรายงานของเซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ พร้อมบอกว่าขณะเดียวกันนั้นได้มีคำถามเดิมๆ โผล่ขึ้นมาต่อประเด็นความปลอดภัยบนท้องถนนของไทย ในขณะที่ประเทศแห่งนี้เป็นหนึ่งในชาติที่มีอัตราการเสียชีวิตบนท้องถนนสูงสุดในโลก

รายละเอียดของโศกนาฏกรรมครั้งนี้ ยิ่งแต่ทำให้หัวใจผู้คนนั้นแทบแตกสลาย เมื่อมีรายงานพวกเด็กนักเรียนตัวเล็กๆ ระดับประถมไม่สามารถหนีออกมาจากประตูฉุกเฉินได้ และหมอบงอบริเวณด้านท้ายรถบัส หรือไม่ก็ในอ้อมแขนของคุณครูยังสาว ท่ามกลางเปลวเพลิงที่ห้อมล้อมรถบัสไว้ทุกทิศทุกทาง

หนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ รายงานต่อว่าเบื้องต้นคนขับรถหลบหนีไปจากที่เกิดเหตุ แต่เข้ามอบตัวต่อตำรวจในวันพุธ (2 ต.ค.) เขาถูกจับกุมพร้อมตั้งข้อหาขับรถโดยประมาทเลินเล่อ ในขณะที่บรรดารัฐมนตรีรับปากว่าจะป้องกันไม่ให้อุบัติเหตุเช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำอีก

นายเพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีศึกษาธิการ บอกกับผู้สื่อข่าวในวันพุธ (2 ต.ค.) ว่าโปรแกรมทัศนศึกษาที่ไม่มีความจำเป็นจะต้องงดไว้ก่อน ขณะที่เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพต์ระบุว่า ในไทยเด็กๆ มักถูกพานั่งรถเป็นระยะทางไกลๆ เป็นประจำ สำหรับไปทัศนศึกษาตามแหล่งประวัติศาสตร์ต่างๆ หรืออื่นๆ และบ่อยครั้งมักเข้าไปเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุหรือเฉียดเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน

เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพต์ รายงานอ้างคำกล่าวของนายเพิ่มพูน ระบุต่อว่าจำเป็นต้องมีการใช้มาตรการด้านความปลอดภัยต่างๆ เสียก่อน แล้วจึงจะสามารถเดินหน้าการทัวร์ทัศนศึกษาต่อไปได้

ความเห็นของเขามีขึ้นหลังจากนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ตั้งคำถามเกี่ยวกับความเหมาะสมสำหรับการใช้งานบนท้องถนนขอรถบัสคันดังกล่าวที่มีอายุเก่าเก็บกว่า 50 ปี ที่ปรับเปลี่ยนมาใช้แก๊ส ซึ่งเร่งปฏิกิริยาไฟลุกไหม้แทบทันทีหลังจากยางรถระเบิด "มันเป็นบางอย่างที่ทางกระทรวงจะต้องตรวจสอบ และทำการพิจารณาแบนการใช้เชื้อเพลิงแก๊สในยานพาหนะแบบนี้"

Rabbit Crossing กลุ่มรณรงค์ด้านความปลอดภัยบนท้องถนนที่จัดตั้งขึ้นมาตามหลังการเสียชีวิตของแพทย์รายหนึ่ง ซึ่งถูกรถจักรยานยนต์ชนตาย ระหว่างข้ามถนนในกรุงเทพฯ เมื่อปี 2022 ระบุว่ายานยนต์ต่างๆ ควรเข้ารับการตรวจสภาพเป็นประจำ และใช้เชื้อเพลิงที่มีความปลอดภัย ส่วนหนึ่งในการปฏิวัติวัฒนธรรมการขับขี่ของประเทศ ตามรายงานของเซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์

"มันควรมีการบังคับใช้ข้อบังคับทางกฎหมายและบทลงโทษอย่างจริงจัง" ทางกลุ่ม Rabbit Crossing (ทางกระต่าย) ให้สัมภาษณ์กับดิสวีก อิน เอเชีย "เราหวังว่าโศกนาฏกรรมนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนกระตุ้นให้สังคมและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องตระหนักถึงความสำคัญในประเด็นนี้มากขึ้น"

รายงานของเซาท์ไชน่ามอร์นิงโพต์ ระบุว่าผู้คนพากันใช้สื่อสังคมออนไลน์ ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับการจดทะเบียนและต่อทะเบียนของรถบัส เช่น มีการตรวจสอบด้านความปลอดภัยถังแก๊สเก่าเก็บหรือไม่ หรือมีมาตรการฉุกเฉินต่างๆ ติดตั้งอยู่รถบัสที่เต็มไปได้เด็กน้อยหรือไม่ เช่น อุปกรณ์ดับเพลิงหรือค้อนทุบกระจก

Guillaume Rachou กรรมการบริหาร Save the Children ประเทศไทย ระบุว่าโศกนาฏกรรมนี้ควรเป็นสัญญาณแจ้งเตือนให้ทุกคนตื่นขึ้นมา "แม้มีโครงการริเริ่มต่างๆ มากมายที่ดำเนินการโดยรัฐบาล แต่สถิติการเสียชีวิตบนท้องถนนของไทยยังคงอยู่ในระดับที่น่ากังวล และยิ่งไปกว่านั้น มีหลายชีวิตในนั้นที่สามารถหลีกเลี่ยงได้"

"โรงเรียนต่างๆ ควรมีบทบาทสำคัญเช่นกัน ในการหาทางรับประกันว่า ทุกกิจรรมได้ผ่านการประเมินความเสี่ยงและมีมาตรการป้องกันอย่างละเอียดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปกลับโรงเรียน หรือออกไปทัศนศึกษา" เขากล่าว

เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ รายงานอ้างข้อมูลขององค์การอนามัยโลก ระบุว่ามีผู้เสียชีวิตบนท้องถนนในไทยราว 20,000 คนในแต่ละปี เฉลี่ยแล้วมากกว่า 50 ศพต่อวัน

นอกเหนือจากตัวเลขความสูญเสียด้านมนุษย์อันน่าช็อกแล้ว ความเสียหายทางเศรษฐกิจอันเนื่องจากการเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บบนท้องถนนยังคิดเป็นราว 15,500 ล้านดอลลาร์ (ราว 5 แสนบ้านบาท) ในปี 2022 หรือมากกว่า 3% ของจีดีพี อ้างอิงข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก

(ที่มา : เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์)


กำลังโหลดความคิดเห็น