เอเจนซีส์ - การดีเบตคืนวันอังคาร (1 ต.ค.) ระหว่างคู่ชิงรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ส.ว.รัฐโอไฮโอ เจ.ดี.แวนซ์ และผู้ว่าการรัฐมินเนโซตา ทิม วอลซ์ กลายเป็นศึกกู้ศักดิ์ศรีให้อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ไปจากการที่สื่อสหรัฐฯ ชี้ขาดว่าแวนซ์ชนะขาดสามารถควบคุมเกมไว้ได้ส่วนคู่แข่งวอลซ์แสดงอาการเมาหมัดตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ต่างจากไบเดนสับสนระหว่างอิหร่านและอิสราเอล และต้องแก้ตัวประเด็นเคยอ้างว่าตัวเองอยู่ฮ่องกงตอนปักกิ่งปราบปรามกบฏนักศึกษาเทียนอันเหมินปี 1989
หนังสือพิมพ์ยูเอสเอทูเดย์ของสหรัฐฯ รายงานวานนี้ (1 ต.ค.) ว่า การดีเบตที่จัดขึ้นในคืนวันอังคาร (1) และอาจจะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวระหว่างคู่ชิงรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ส.ว.รัฐโอไฮโอ เจ.ดี.แวนซ์ (JD Vance) จากพรรครีพับลิกัน และผู้ว่าการรัฐมินเนโซตา ทิม วอลซ์ (Tim Walz) จากพรรคเดโมแครต เป็นระยะเวลานาน 90 นาทีที่นิวยอร์กโดยผู้จัดสถานีโทรทัศน์ CBS
ซึ่งสื่อสหรัฐฯ ทั้งยูเอสเอทูเดย์ โพลิติโก และไฟแนนเชียลไทม์ส ต่างลงคะแนนว่าแวนซ์ชนะการดีเบต โดยโพลิติโกชี้ว่า เป็นการดีเบตแบบมิดเวสต์ และถือเป็นวันที่ดีที่สุดของเจ.ดี.แวนซ์ นับตั้งแต่ได้รับเลือกเป็นคู่ชิงของอดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์
อย่างไรก็ตาม CNN ที่ได้ทำการสำรวจแฟลชโพลขึ้นหลังดีเบตกลับชี้ว่า ไม่มีผู้ชนะอย่างชัดเจน โดยมีราว 51% คิดว่าแวนซ์ทำได้ดีกว่า แต่ 49% คิดว่าวอลซ์นั้นทำคะแนนดี
ยูเอสเอทูเดย์รายงานว่า ในการดีเบตคืนวานนี้ (1) ส.ว.แวนซ์ควบคุมเกมได้ดีและไม่แสดงความผิดพลาดออกมา รวมไปถึงการควบคุมอารมณ์โกรธที่เป็นสิ่งผิดพลาดของทรัมป์เมื่อครั้งดีเบตแข่งรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ กมลา แฮร์ริส เมื่อราว 3 สัปดาห์ก่อนที่เมืองฟิลาเดลเฟีย
แวนซ์ดูจะเหนือกว่าวอลซ์ทั้งในด้านความสมดุล และนโยบายการสั่งการ และเป็นครั้งแรกที่เขาแสดงความสามารถทางดีเบตออกมาให้เห็นในระดับประเทศ
CNN ของสหรัฐฯ รายงานว่า ในขณะที่ผู้ว่าการรัฐมินเนโซตา วอลซ์ ตัวแทนพรรคเดโมแครตนั้นบนเวทีต้องถูกบังคับให้แก้ตัวที่วอลซ์เคยอ้างว่า ในวันนั้นตัวเองอยู่ที่ฝั่งฮ่องกงเหตุการณ์ปักกิ่งส่งรถถังเข้าปราบปรามนักศึกษาเรียกร้องประชาธิปไตยที่จัตุรัสเทียนอันเหมินปี 1989
บนเวทีดีเบตวันอังคาร (1) วอลซ์กล่าวยอมรับว่า เขาพูดผิดพลาดที่ก่อนหน้าได้เคยบอกไปว่า เขาเดินทางไปฮ่องกงในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปี 1989 ระหว่างการประท้วง แต่ยืนกรานว่าเขาอยู่ในทั้งที่ฮ่องกงและจีนระหว่างการประท้วงเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย
ทั้งนี้ วอลซ์มักจะเป็นผู้จัดการและควบคุมทริปไปเยือนจีนในช่วงเวลาที่เขาเคยเป็นอาจารย์สอนอยู่ในจีนแผ่นดินใหญ่ก่อนที่จะเข้าสู่แวดวงการเมืองสหรัฐฯ
อ้างอิงจาก NPR ของสหรัฐฯ รายงานเมื่อวันที่ 20 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า วอลซ์เมื่ออายุได้ 25 ปีเพิ่งจบจากมหาวิทยาลัย เขาได้เข้าร่วมโครงการ WorldTeach program ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และเดินทางไปจีน และได้ทำการสอนที่นั่นในยุค 89-90
หนึ่งในนักเรียนจีนวัย 15 ปีในเวลานั้นชื่อ ได๋ (Dai) พบกับวอลซ์ในฐานะอาจารย์สอนภาษาอังกฤษและประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ให้เด็กนักเรียน 300 คนที่โรงเรียนมัธยมต้น Foshan No. 1
CNN รายงานว่า ทิม วอลซ์ กล่าวว่า “ในขณะที่ยังหนุ่ม ผมได้ไปสอนที่สอนที่โรงเรียนมัธยมปลายใน Foshan ในมณฑลกวางตุ้ง และอยู่ในฮ่องกงในพฤษภาคมปี 1989”
และกล่าวต่อถึงการปราบปรามนักศึกษาว่า “และเมื่อเหตุการณ์ได้ดำเนิน พวกเราไม่กี่คนเข้าไปที่นั่น และผมยังคงจำได้ถึงสถานีรถไฟที่ฮ่องกง”
ซึ่งในอดีต ทิม วอลซ์ มักออกมาโอ้อวดตัวเลขการเดินทางไปจีนเกินจริง โดยกล่าวว่าไปร่วม 30 ครั้งแต่ทว่าเมื่อถามไปยังทีมหาเสียงของกมลา แฮร์ริสให้ยืนยันอย่างชัดเจนต่อตัวเลขทริปการเดินทางไปจีนของวอลซ์ โฆษกทีมหาเสียงตอบ CNN กลับมาว่า น่าจะราว 15 ครั้ง
และเขาตกเป็นเหยื่อการตรวจสอบเมื่อไม่นานมานี้จากพรรครีพับลิกันเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับจีน
ซึ่งว่าที่คู่ชิงแฮร์ริสโดนประเด็นเทียนอันเหมินจากการที่เคยสัมภาษณ์กับสถานีวิทยุอ้างว่า ตัวเองยืนอยู่ในฝั่งฮ่องกงในวันที่ 4 มิ.ย. ปี 1989 ซึ่งเป็นวันที่ปักกิ่งส่งกำลังรถถังเข้าปราบปรามที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน
อย่างไรก็ตาม สำนักข่าววอชิงตัน ฟรี บีคอน (Washington Free Beacon) กลายเป็นสื่อแรกออกมาเปิดเผยว่า แท้จริงแล้วในวันนั้นวอลซ์อยู่ในเครื่องแบบทหารเนชันแนลการ์ด กำลังเดินชมห้องเก็บของที่ระลึก (Nebraska National Guard storeroom) ของกองกำลังเนชันแนลการ์ดเนบราสกา อ้างอิงจากภาพถ่ายเมื่อวันที่ 16 พ.ค. ปี 1989 ที่ลงในหนังสือพิมพ์อัลไลอันซ์ ไทม์ส-เฮอรัลด์ (Alliance Times-Herald)
หนังสือพิมพ์ยูเอสเอทูเดย์รายงานว่า ในการดีเบตคืนวันอังคาร (1) ผู้ว่าการวอลซ์ตั้งแต่เริ่มต้นแสดงความผิดพลาดออกมาให้เห็น โดยเขากล่าวผิดพลาดสับสนระหว่างอิหร่านและอิสราเอลเมื่อโดนถามว่าจะให้คำปรึกษาอย่างไรต่อประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในยุทธวิธีโจมตีก่อน (preemptive strike) โดยอิสราเอลต่ออิหร่าน
และในอีกครั้งวอลซ์แสดงการประหม่าและไม่มั่นใจในตัวเองออกมา เขาพูดเร็วมากในเวลาที่เขาพูดตะกุกตะกัก
การดีเบตจบลงซึ่งการดีเบตระหว่างคู่ชิงรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ นั้นไม่มีผลต่อการเลือกตั้งซึ่งเหลือเวลาให้ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่หาเสียงอีกเพียงแค่ 35 วันก่อนคูหาเปิดในวันที่ 5 พ.ย.
ยูเอสเอทูเดย์รายงานว่า โพลระดับชาติส่วนใหญ่ให้แฮร์ริสขึ้นทำทรัมป์ แต่ทว่าการเลือกตั้งที่ผู้ชนะจะออกในรูปหัวหรือก้อยจะยังคงถูกตัดสินในรัฐสวิงสเตทไม่กี่รัฐ