รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ กมลา แฮร์ริส ในวันพฤหัสบดี (26 ก.ย.) วิพากษ์วิจารณ์ โดนัลด์ ทรัมป์ คู่แข่งในศึกเลือกตั้ง เกี่ยวกับท่าทีในประเด็นยูเครน ให้คำจำกัดความนโยบายของทรัมป์ ว่า "เป็นการยอมจำนน" ขณะเดียวกัน ก็บอกกับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ว่าผู้นำรายนี้จะต้องพึ่งพิงแรงสนับสนุนจากเธอ
เซเลนสกี มีแผนพบปะกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน เช่นกัน เพื่อนำเสนอ "แผนแห่งชัยชนะ" ของเขา ในขณะที่ทำเนียบขาวแถลงแพกเกจความช่วยเหลือทางทหารรอบใหม่มอบให้แก่เคียฟ มูลค่าเกือบ 8,000 ล้านดอลลาร์ ท่ามกลางการสู้รบปัดป้องการรุกรานของรัสเซีย ที่ยืดเยื้อเข้าสู่ปีที่ 3 แล้ว
การเดินทางเยือนของเซเลนสกี มีขึ้นท่ามกลางความไม่ลงรอยกับ ทรัมป์ ตัวแทนรีพับลิกันลงชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งบ่งชี้ว่าศึกเลือกตั้งอเมริกาในเดือนพฤศจิกายน อาจส่งผลกระทบต่อแรงสนับสนุนที่ยูเครนจะได้รับจากชาติผู้ให้การหนุนหลังรายใหญ่ที่สุดแห่งนี้
แฮร์ริส ไม่ได้เอ่ยชื่อ ทรัมป์ แต่บอกว่า "มีใครบางคนในประเทศของฉัน อยากบีบบังคับให้ยูเครนยอมสละเนื้อที่ขนาดใหญ่ของดินแดนอธิปไตยของตนเอง มีใครบางคนต้องการให้ยูเครนยอมรับความเป็นกลาง ข้อเสนอนี้เป็นข้อเสนอแบบเดียวกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน และขอฉันพูดให้ชัด มันไม่ใช่ข้อเสนอสันติภาพ แต่มันเป็นข้อเสนอให้ยอมจำนน" เธอกล่าวโดยมีเซเลนสกียืนอยู่ข้างๆ
ระหว่างหารือแยกกันในห้องทำงานรูปไข่กับเซเลนสกี ประธานาธิบดีไบเดน รับปากว่า "รัสเซียจะไม่ได้รับชัยชนะ" ในสงครามที่มอสโกเป็นฝ่ายเริ่มในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 "ยูเครนจะชนะ และเราจะยืนหยัดอยู่เคียงข้างคุณในทุกๆ ฝีก้าว" ไบเดนกล่าว หลังขอบคุณ เซเลนสกี ที่เสนอแผนๆ หนึ่งที่เรียกว่าแผนแห่งชัยชนะ
เซเลนสกี ตอบกลับว่า "เรารู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่งที่ยูเครนและอเมริกายืนหยัดอยู่เคียงข้างกัน"
ไบเดน รับปากมอบความช่วยเหลือทางทหารอีกเกือบ 8,000 ล้านดอลลาร์ในวันพฤหัสบดี (26 ก.ย.) ในนั้นรวมถึงจำนวน 5,500 ล้านดอลลาร์ ที่อนุมัติให้ก่อนหมดอายุลง ในช่วงสิ้นสุดปีงบประมาณของสหรัฐฯ ในวันจันทร์ (30 ก.ย.)
ประธานาธิบดีไบเดน ระบุในถ้อยแถลงว่าการเพิ่มความช่วยเหลือด้านความมั่นคงแก่ยูเครนจะช่วยให้เคียฟชนะสงคราม นอกจากนี้แล้วเขายังแถลงด้วยว่าวอชิงตันจะมอบกระสุนพิสัยไกล Joint Standoff Weapon (JSOW) แก่ยูเครนด้วย และเรียกร้องให้บรรดาพันธมิตรจัดประชุมซัมมิตในเยอรมนี ในเดือนตุลาคม
อย่างไรก็ตาม ทำเนียบขาวดับความหวังที่มีมาช้านานของเซเลนสกี ที่ปรารถนาบรรลุเป้าหมายได้รับอนุญาตให้ใช้ขีปนาวุธพิสัยไกล ซึ่งได้รับมอบจากตะวันตก โจมตีเข้าใส่ลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซีย "ฉันไม่คาดหมายว่าจะมีถ้อยแถลงใหม่ใดๆ เกี่ยวกับความเคลื่อนไหวนี้โดยเฉพาะ หรือการตัดสินใดๆ ในเรื่องนี้ออกมาจากที่ประชุม" คารีน ฌอง-ปิแอร์ เลขานุการฝ่ายสื่อสารมวลชน บอกกับผู้สื่อข่าว
เซเลนสกี ยังได้เดินทางไปยังสภาคองเกรส สถานที่ที่รัฐบาลยูเครนเผยว่าเขาเตรียมเสนอแผนแห่งชัยชนะเช่นกัน ในขณะที่เขาได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติไปแล้วในวันพุธ (25 ก.ย.)
อย่างไรก็ตาม การเดินทางเยือนของเซเลนสกี กระตุ้นให้มอสโกสำแดงฤทธิ์เดชด้านนิวเคลียร์รอบใหม่ โดยกล่าวเตือนตะวันตกซ้ำอีกรอบ ต่อการมอบอาวุธพิสัยไกลแก่ยูเครน
ทำเนียบเครมลินกล่าวสำทับในวันพฤหัสบดี (26 ก.ย.) ว่า จากการที่รัสเซียเปลี่ยนแปลงหลักการในการใช้อาวุธนิวเคลียร์ของตน ตามที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ออกมาแถลงเมื่อวันพุธ (25 ก.ย.) นั้น คือการส่งสัญญาณให้พวกประเทศตะวันตกพิจารณาถึงผลต่อเนื่องที่จะติดตามมา ถ้าหากพวกเขาเข้าร่วมในการโจมตีรัสเซีย
ทั้งนี้ ปูติน กล่าวขณะเปิดการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติเมื่อวันพุธ (25 ก.ย.) ว่า รัสเซียอาจนำอาวุธนิวเคลียร์ออกมาใช้ ถึงแม้ถูกโจมตีด้วยขีปนาวุธตามแบบ (นั่นคือขีปนาวุธติดหัวรบธรรมดา ไม่ใช่หัวรบนิวเคลียร์) กล่าวคือมอสโกจะถือว่าการโจมตีใดๆ ก็ตามต่อแดนหมีขาว ที่มีมหาอำนาจนิวเคลียร์ให้การสนับสนุน เป็น "ปฏิบัติการโจมตีร่วม" ของมหาอำนาจดังกล่าวด้วย
แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เรียกคำขู่ทางนิวเคลียร์นี้ว่า "เป็นสิ่งที่ไร้ความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง" ขณะที่โฆษกฝ่ายนโยบายต่างประเทศของอียู บอกว่า ปูติน กำลังเดิมพันกับคลังแสงนิวเคลียร์ของเขา
ด้วยศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ กำลังมาถึง นั่นหมายความว่าแรงสนับสนุนของวอชิงตันที่มอบแก่ยูเครนเวลานี้แขวนอยู่บนเส้นด้าย
ทรัมป์ มีกำหนดพบปะกับ เซเลนสกี เช่นกัน ระหว่างผู้นำยูเครนเดินทางเยือนสหรัฐฯ แต่การพูดคุยของพวกเขาดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความเย็นชา
ทั้งนี้ ทรัมป์ กล่าวหา เซเลนสกี ก่อนหน้าเดินทางเยือน ว่าปฏิเสธบรรลุข้อตกลงกับมอสโก และเป็นอีกครั้งที่เขาตั้งคำถามว่าทำไมสหรัฐฯ ถึงต้องมอบเงินช่วยเหลือแก่เคียฟเป็นจำนวนหลายพันหลายหมื่นล้านดอลลาร์ด้วย
ณ เวทีหาเสียงหนึ่งในวันพุธ (25 ก.ย.) ทรัมป์ ยังเรียกประธานาธิบดีเซเลนสกี ว่า "น่าจะเป็นเซลส์แมนที่ขายเก่งที่สุดในโลกใบนี้"
(ที่มา : เอเอฟพี)