สหรัฐฯ เสนอให้การรับรองรัฐบาลฮูตีในกรุงซานา ในความพยายามหยุดกบฏเยเมนกลุ่มนี้จากการโจมตีต่างๆ จากคำกล่าวอ้างของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของฮูตีรายหนึ่งเมื่อวันจันทร์ (16 ก.ย.) ในความเห็นที่กระตุ้นให้ทางฝั่งอเมริการุดออกมาปฏิเสธ
ความเห็นของเจ้าหน้าที่ฮูตีรายดังกล่าว มีขึ้น 1 วัน หลังจากขีปนาวุธลูกหนึ่งของทางกลุ่ม ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน พุ่งไปถึงใจกลางอิสราเอลเป็นครั้งแรก กระตุ้นให้ เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ออกมาเตือนว่าพวกกบฏกลุ่มนี้จะต้องชดใช้ราคาแพง
"มีการติดต่อสื่อสารเสมอหลังจากทุกๆ ปฏิบัติการที่เราลงมือ" โมฮัดเมด อัล-บูคาติ สมาชิกสำนักงานการเมืองของขบวนการเคลื่อนไหวฮูตี ให้สัมภาษณกับสำนักข่าวอัลจาซีราห์ "สายโทรศัพท์เหล่านั้นมีทั้งคำขู่ต่างๆ หรือนำเสนอสิ่งล่อใจบางอย่าง แต่พวกเขายกธงขาวต่อการบรรลุความสำเร็จใดๆ ในทิศทางนั้น"
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ รายหนึ่งซึ่งไม่ประสงค์เอ่ยนาม เรียกคำกล่าวอ้างดังกล่าวของพวกฮูตี ว่าเป็น "การปั้นแต่งเรื่องขึ้นมาโดยสิ้นเชิง"
อัล-บูคาติ อ้างว่าสายโทรศัพท์ที่มีขึ้นหลังการโจมตี ในนั้นบางส่วนมาจากสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรทางอ้อมผ่านบรรดาคนกลาง และคำขู่ต่างๆ เหล่านั้น รวมถึงขู่ว่ากองทัพอเมริกาจะเข้าแทรกแซงทางทหารโดยตรงกับประเทศต่างๆ ที่เข้าแทรกแซงทางทหารสนับสนุนกาซา
นอกเหนือจากการโจมตีอิสราเอลแล้ว พวกกบฏเยเมนกลุ่มนี้ยังได้เดินหน้าโจมตีใส่เรือต่างๆ ที่พวกเขาเชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องหรือมุ่งหน้าไปยังอิสราเอล เพื่อสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ ท่ามกลางสงครามในกาซา
พวกกบฏฮูตีใช้ขีปนาวุธและโดรนโจมตีก่อความเสียหายแก่เรือต่างๆ แล้วมากกว่า 80 ลำ นับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ในนั้น 2 ลำ จมลงสู่ก้นทะเล อีกลำเป็นการบุกยึดและสังหารลูกเรือไป 3 คน
สงครามในฉนวนกาซา เริ่มต้นหลังจากกลุ่มมือปืนฮามาส พันธมิตรของฮูตี บุกโจมตีเล่นงานอิสราเอลแบบสายฟ้าแลบ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม สังหารผู้คนไป 1,200 ราย และจับตัวประกันที่เป็นชาวต่างชาติและอิสราเอลราว 250 คน
ปฏิบัติการรุกรานแก้แค้นของอิสราเอลในเวลาต่อมา สังหารชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาไปแล้วอย่างน้อย 41,226 คนจนถึงตอนนี้ และบาดเจ็บ 95,413 คน
ในส่วนของเยเมน ยุ่งเหยิงกับสงครามกลางเมืองมานานหลายปี ในปี 2014 พวกฮูตีบุกยึดควบคุมกรุงซานา เมืองหลวงของประเทศได้สำเร็จและขับไล่รัฐบาลที่ได้รับรองจากนานาชาติ อย่างไรก็ตาม มันกระตุ้นให้สหรัฐฯ ใส่ชื่อ ฮูตี กลับเข้าไปในบัญชีกลุ่มก่อการร้ายอีกรอบ
(ที่มา : รอยเตอร์)