เอเจนซีส์ - รัฐบาลบังกลาเทศวันพฤหัสบดี (22 ส.ค.) สั่งถอนหนังสือเดินทางการทูตของอดีตนายกรัฐมนตรีชีค ฮาสินา หลังขึ้นฮ.หนีไปอินเดียเมื่อต้นเดือน กลุ่มสิทธิเปิดตัวเลขผู้เสียชีวิตประท้วงขับไล่อยู่ที่ 800 คนเพื่อโค่นจากบัลลังก์ กระสุนยางตำรวจปราบจลาจลทำนักศึกษาต้องตาบอดตลอดชีวิต ด้านนายกรัฐมนตรีชนะรางวัลโนเบลสันติภาพ โมฮัมหมัด ยูนุส ฉายาบิดาแห่งธนาคารคนจนเพื่อคนยากไร้ เตรียมเข้าร่วมการประชุมการขนส่งทางทะเล BIMSTEC ที่กรุงเทพฯ ต้นเดือนหน้า ถือเป็นการเปิดตัวเดินทางต่างประเทศครั้งแรก ที่จะมีนายกรัฐมนตรีอินเดีย นเรนทรา โมดี เข้าร่วม แต่มีรายงานอาจต้องเลื่อนออกไปเพราะนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ยังไม่พร้อม ครม.อิ๊ง 1 ยังตั้งไม่ได้
ฟรานซ์24 ของฝรั่งเศสรายงานวานนี้ (22 ส.ค.) ว่า รัฐบาลรักษาการบังกลาเทศของนายกโมฮัมหมัด ยูนุส ในวันพฤหัสบดี (22) สั่งจัดการยกเลิกหนังสือเดินทางอดีตนายกรัฐมนตรีชีค ฮาสินา หลังจากขึ้น ฮ.หนีการโค่นล้มนำโดยนักศึกษาไปอินเดียเมื่อต้นเดือนนี้
กระทรวงมหาดไทยบังกลาเทศกล่าวในแถลงการณ์ว่า หนังสือเดินทางการทูตฮาสินาและของอดีตรัฐมนตรีคณะรัฐมนตรีและของอดีตนักการเมืองที่ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งจะต้องถูกถอดถอน
และส่งผลต่ออินเดียซึ่งฮาสินากำลังลี้ภัยอยู่ในเวลานี้ NDTV ของอินเดียรายงาน เอกอัครราชทูตอินเดียวันพฤหัสบดี (22) เรียกร้องเพิ่มการรักษาการปลอดภัยให้สถานทูตท่ามกลางความวิตก ส่วนเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำบังกลาเทศออกแถลงการณ์วันพุธ (21) เข้าพบวันก่อนหน้า
ฟรานซ์24 รายงานว่า ในแถลงการณ์กระทรวงมหาดไทยธากาวานนี้ (22) มีใจความว่า “อดีตนายกรัฐมนตรี เหล่าที่ปรึกษา อดีตคณะรัฐมนตรีและสมาชิกทั้งหมดของสภานิติบัญญัติแห่งชาติบังกลาเทศที่มีคุณสมบัติสำหรับหนังสือเดินทางการทูตจากการดำรงตำแหน่ง”
และเสริมต่อว่า “หากว่าคนเหล่านั้นต้องถูกถอดถอนหรือเกษียณจากหน้าที่ ทั้งพวกเขาและคู่สมรสจะต้องโดนสั่งเพิกถอนพาสปอร์ตทางการทูต”
ทั้งนี้ คนเหล่านี้ยังคงสามารถถือหนังสือเดินทางบุคคลธรรมดาได้ต่อไป
เกิดขึ้นท่ามกลางการเปิดเผยตัวเลขเสียชีวิตของผู้ประท้วงขับไล่ฮาสินา หนังสือพิมพ์ดิอินดีเพนเดนท์ของอังกฤษ รายงานวันพฤหัสบดี (22) ว่า กลุ่มสิทธิมนุษยชน Human Right Support Society เปิดเผยวันอังคาร (20) ว่า ตัวเลขการเสียชีวิตจากการประท้วงเพื่อโค่นล้มรัฐบาลสันนิบาตอวามีจำนวน 815 คน รวมเด็ก 83 คน นักข่าว 5 คน และตำรวจอีก 51 คน
ขณะที่สื่อ RFI ของฝรั่งเศสรายงานวันพุธ (21) ว่า การประท้วงเพื่อโค่นล้มอดีตนายกรัฐมนตรี ชีค ฮาสินา และพรรคของเธอ แต่ทว่ากระสุนยางของตำรวจปราบจลาจลทำให้นักศึกษาที่เป็นหัวหอกโค่นล้มระบอบฮาสินาต้องตาบอดสูญเสียการมองเห็นไปตลอดชีวิต ง
โอมาร์ ฟารุค (Omar Faruk) วัย 20 ปีที่เคยมีอนาคตสดใสและเชื่อมั่นในอนาคตบังกลาเทศนั้นกำลังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสถาบันจักษุวิทยาแห่งชาติ NIOH ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเชี่ยวชาญการรักษาดวงตาที่ใหญ่ที่สุดในบังกลาเทศ
RFI ชี้ว่าตามข้อมูลพบว่า มีเกือบ 600 คนต้องสูญเสียความสามารถการมองเห็นในบางประเภทจากกระสุนยางตำรวจ และในกลุ่มนี้มีราว 20 คนต้องตาบอดตลอดชีวิต
ขณะเดียวกัน หนังสือพิมพ์กาฐมาณฑุรายงานวันศุกร์ (23) ว่า โมฮัมหมัด ยูนุส นายกฯ บังกลาเทศเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพปี 2006 ที่ถูกกล่าวขานอย่างชื่นชมว่าเป็นผู้เปลี่ยนแปลงจะเดินทางต่างประเทศเป็นครั้งแรกเพื่อเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ที่ไทยนั้นต้องเลื่อนออกไป
เป็นการประชุมการขนส่งทางทะเล BIMSTEC ที่กรุงเทพฯ เป็นเจ้าภาพกำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 4-6 ก.ย.
โดยแหล่งข่าวระดับสูงในรัฐบาลไทยได้เปิดเผยในรายงานของสื่อทางการไทยว่า ในวันพฤหัสบดี (22) นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ตัดสินที่จะเลื่อนการประชุม BIMSTEC ออกไปเพราะยังไม่สามารถจัดตั้งคณะรัฐบาลผสมชุดใหม่ได้ทัน
หนังสือพิมพ์กาฐมาณฑุเปิดเผยว่า ประชุม BIMSTEC เกิดขึ้นมาจากปฏิญญากรุงเทพฯ ปี 1997 ที่จะเป็นการเชื่อมโยงระหว่าง 2 ภูมิภาคเข้าด้วยกัน ได้แก่ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และภูมิภาคเอเชียใต้ โดยปัจจุบันมีสมาชิกทั้งหมด 7 ประเทศ ได้แก่ บังกลาเทศ อินเดีย พม่า ศรีลังกา ไทย ภูฏาน และเนปาล
ด้านนายกรัฐมนตรีอินเดีย นเรนทรา โมดี ที่เป็นหัวหอกในเอเชียใต้ต่อต้านจีนทางทะเลเคยกล่าวถึง BIMSTEC ในการรายงาน PTI ของอินเดียวันที่ 12 ก.ค.ที่ผ่านมาว่า บทบาทของ BIMSTEC เป็นในฐานเครื่องจักรกลทางด้านเศรษฐกิจและการเติบโตทางสังคม ซึ่งนายกฯ รางวัลโนเบล โมฮัมหมัด ยูนุส ก่อนหน้าในการแถลงข่าวครั้งแรกหลังรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีรักษาการบังกลาเทศ อ้างอิงจากอัลญะซีเราะห์ว่า เขาจะช่วยเหลือผู้อพยพชาวโรฮิงญาที่เดินทางหนีเข้ามาลี้ภัยในบังกลาเทศ และปกป้องรักษาการค้าสิ่งทอของประเทศ
อัลญะซีเราะฮ์เคยรายงานเมื่อวันที่ 21 ต.ค. ปี 2017 ว่า ศาสตราจาย์ โมฮัมหมัด ยูนุส ได้ออกมาตำหนิอย่างตรงไปตรงมาต่ออองซานซูจีว่าเป็นความผิดของเธอทำให้ชนกลุ่มน้อยมุสลิมโรฮิงญาต้องทุกข์ยาก
“ผมของกล่าวโทษเธอ 100% เพราะเธอเป็นผู้นำ” ยูนุสกล่าวให้สัมภาษณ์ในเวลานั้น