ไบเดนปราศรัยอำลาในการประชุมใหญ่ผู้แทนทั่วประเทศของพรรคเดโมแครต คุยได้มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้อเมริกาแล้ว พร้อมกับยกย่องแฮร์ริสเป็นความหวังสูงสุดในการปกป้องประชาธิปไตย และขัดขวางทรัมป์ไม่ให้ได้กลับสู่ทำเนียบขาว
ในคืนวันแรกของการประชุมใหญ่ผู้แทนทั่วประเทศพรรคเดโมแครตเมื่อวันจันทร์ (19 ส.ค.) ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ขึ้นกล่าวปราศรัยที่เป็นการอำลาพรรคการเมืองซึ่งเขาร่วมงานมาครึ่งศตวรรษ แม้ยังเหลือวาระการดำรงตำแหน่งอีก 5 เดือน โดยบรรดาผู้สนับสนุนต่างยืนปรบมือให้เกียรติอย่างกึกก้องนานหลายนาที
ไบเดนประกาศระหว่างการปราศรัยเกือบ 1 ชั่วโมง ณ การประชุมซึ่งจัดขึ้นที่เมืองชิคาโก คราวนี้ว่า แม้ทำผิดพลาดมาหลายอย่างในอาชีพนักการเมือง แต่เขาได้มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่อเมริกาแล้ว
การตัดสินใจด้วยความลังเลของไบเดนเมื่อวันที่ 21 ก.ค. ในการถอนตัวจากการลงเลือกตั้งชิงทำเนียบขาวอีกสมัยหนึ่ง เกิดขึ้นหลังถูกกดดันอย่างหนักจากเหล่าผู้นำเดโมแครตที่กังวลว่า ประธานาธิบดีวัย 81 ปีผู้นี้ชราเกินกว่าจะชนะการเลือกตั้ง หรือดำรงตำแหน่งครบ 4 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการดีเบตกับโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. ที่ทำให้พวกพันธมิตรเก่าแก่ ผู้บริจาครายใหญ่ และผู้สนับสนุนพรรคกลุ่มอื่นๆ พร้อมใจเรียกร้องให้ไบเดนถอนตัว
ปรากฏว่าการเปิดทางให้รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส เป็นตัวแทนพรรคลงแข่งขันแทนคราวนี้ กลายเป็นการพลิกฟื้นพรรคเดโมแครตให้กลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาใหม่อย่างทันตา นอกจากได้รับการสนับสนุนจากผู้ทรงอิทธิพลในพรรคอย่างท่วมท้นแล้ว แฮร์ริสยังมีคะแนนนำทรัมป์ในโพลส่วนใหญ่ที่สำรวจกันในช่วงหลังๆ นี้
กระนั้น ไบเดนยืนยันว่า ไม่ได้รู้สึกขมขื่นกับการต้องถอนตัวหรือโกรธเคืองผู้ที่เรียกร้องให้เขาวางมือ แต่กลับคิดว่า ตัวเองได้เลือกทำสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อขัดขวางไม่ให้ทรัมป์ได้กลับเข้าสู่ทำเนียบขาว
บนเวที ไบเดนกล่าวว่า เขารักงานของตัวเองแต่รักประเทศมากกว่า และเรียกร้องให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งสนับสนุนแฮร์ริสในการชิงชัยกับทรัมป์ในวันที่ 5 พ.ย. และสำทับว่า ตนเองจะเป็น “อาสาสมัครที่ดีที่สุด” ให้แคมเปญหาเสียงของแฮร์ริส และทิม วอลซ์ ผู้ว่าการรัฐมินเนโซตาที่ลงสมัครในตำแหน่งรองประธานาธิบดี
อย่างไรก็ดี ดูเหมือนไบเดนยังไม่สามารถปล่อยวางตำแหน่งประธานาธิบดีโดยสิ้นเชิง เห็นได้จากที่เขาใช้เวลาจำนวนมากระหว่างการปราศรัย มุ่งโฟกัสที่ผลงานของตนเองมากกว่าอนาคตภายใต้การบริหารของแฮร์ริสในบทบาทประธานาธิบดีที่อาจเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้ง
ประมุขทำเนียบขาวคนปัจจุบันร่ายยาวถึงความสำเร็จที่เขาภาคภูมิใจที่สุด ซึ่งรวมถึงผลงานด้านเศรษฐกิจและหลักประกันด้านสุขภาพ รวมทั้งการเยียวยาจิตใจของอเมริกาภายหลังยุคทรัมป์ และหลังจากม็อบหนุนอดีตประธานาธิบดีผู้นี้บุกอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค.2021
ไบเดนตอบโต้ทรัมป์ที่เรียกอเมริกาว่า เป็นประเทศที่กำลังตกต่ำ โดยบอกว่าจริงๆ แล้วตัวทรัมป์เองต่างหากที่เป็นพวกขี้แพ้ และสำทับว่า ทรัมป์เป็น “ผู้ที่ถูกตัดสินว่าผิดร้ายแรงในคดีอาญา” จากการปลอมแปลงบันทึกธุรกิจเพื่อปกปิดการจ่ายค่าปิดปากให้ดาราโป๊ อีกทั้งยังล้มเหลวในด้านนโยบายการต่างประเทศด้วยการยอมก้มหัวให้ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซีย และบ่อนทำลายองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต)
ไบเดนยังกล่าวถึงการประท้วงของกลุ่มผู้สนับสนุนปาเลสไตน์หลายพันคนที่กำลังชุมนุมกันด้านหน้าของอาคารที่ประชุมใหญ่พรรคเดโมแครตคราวนี้ โดยยอมรับว่า ผู้ประท้วงเหล่านั้นมีเหตุผลในการออกมาเคลื่อนไหว เนื่องจากมีผู้บริสุทธิ์จำนวนมากทั้งในกาซาและอิสราเอลล้มตาย พร้อมยืนยันว่า คณะบริหารกำลังพยายามอย่างไม่ลดละเพื่อผลักดันข้อตกลงหยุดยิงในกาซา
ทั้งนี้ ก่อนที่ไบเดนจะขึ้นเวที มีกลุ่มผู้ประท้วงราว 100 คนได้แยกตัวออกมาจากขบวนใหญ่ของผู้ประท้วง และทำลายแนวกั้นรอบนอกศูนย์การประชุม แต่ถูกตำรวจสกัดไว้ไม่ให้ผ่านแนวกั้นชั้นในเข้าไป
หลังจบการปราศรัย แฮร์ริสขึ้นไปสมทบบนเวทีและสวมกอดไบเดน และเชิญชวนให้ผู้สนับสนุนร่วมกันฉลองให้ไบเดนในฐานะประธานาธิบดีที่ยอดเยี่ยม
การประชุมใหญ่ของพรรคเดโมแครตคราวนี้จัดขึ้นเป็นเวลา 4 วัน โดยไฮไลต์สำคัญที่สุด คือ วาระที่แฮร์ริสจะประกาศยอมรับการเป็นตัวแทนพรรคในการลงเลือกตั้งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการในวันพฤหัสฯ (22)
นอกจากไบเดนแล้ว สมาชิกสำคัญที่ขึ้นเวทีในวันจันทร์ยังรวมถึงฮิลลารี คลินตัน อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง และตัวแทนเดโมโครตในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2016 ที่พ่ายแพ้ให้ทรัมป์ และดับความหวังว่า อเมริกาจะมีประธานาธิบดีหญิงคนแรก
คลินตันกล่าวว่า มีบางสิ่งกำลังเกิดขึ้นในอเมริกา ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้หญิงมากมายพยายามใฝ่ฝันถึงและต่อสู้มานาน ซึ่งหมายถึงการที่แฮร์ริสอาจสามารถทำลายเพดานแก้วและเป็นผู้หญิงคนแรกที่ไต่เต้าถึงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศผู้นี้ยังยกย่องไบเดนในการฟื้นเกียรติยศศักดิ์ศรีและศักยภาพให้แก่ทำเนียบขาว และโจมตีทรัมป์ว่า เป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรกที่ถูกตัดสินความผิดในคดีอาญาถึง 34 กระทง
(ที่มา : รอยเตอร์/เอเอฟพี )