ยูเครนคุยในวันวันพุธ (14 ส.ค.) ว่ากองทหารของฝ่ายตนสามารถบุกคืบหน้าลึกเข้าไปในแคว้นชายแดนของรัสเซียได้เพิ่มขึ้น แม้ยืนยันไม่ต้องการยึดครองดินแดนรัสเซีย และเสนอยุติการบุกถ้ามอสโกเห็นด้วยกับการฟื้นฟู “สันติภาพที่เป็นธรรม” ขณะที่แดนหมีขาวแถลงตอบโต้ว่ายันการรุกของเคียฟเอาไว้ได้ และแนวหน้าของการสู้รบ “มีเสถียรภาพแล้ว” ด้าน “ไบเดน” ถือโอกาสกระหน่ำซ้ำ ด้วยการแถลงว่าปฏิบัติการจู่โจมของเคียฟทำให้ปูติน “ตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกขนานแท้”
ทหารยูเครนหลายพันนายทะลวงข้ามชายแดนเข้าสู่แคว้นคูร์สก์ ซึ่งอยู่ทางด้านตะวันตกของรัสเซีย ตั้งแต่เมื่อเช้ามืดวันอังคารที่แล้ว (6 ส.ค.) โดยที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ระบุว่า เป็นการยั่วยุครั้งใหญ่ที่ต้องการเพิ่มอำนาจต่อรองในการเจรจาหยุดยิงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ถึงแม้ประมุขวังเครมลินประกาศว่า กองทัพรัสเซียจะขับไล่กองกำลังยูเครนออกจากแผ่นดิน แต่ผ่านมากว่าสัปดาห์ ทหารยูเครนยังควบคุมดินแดนในคูร์สก์ อีกทั้งระบุว่ายึดพื้นที่ได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ ของยูเครน โพสต์ข้อความทางแพลตฟอร์มเทเลแกรม อ้างวา กองทหารฝ่ายเคียฟยังคงช่วงชิงดินแดนในแคว้นคูร์สก์ได้มากขึ้น โดยที่ในวันพุธวันเดียว สามารถรุกต่อไปได้อีกราว 1-2 กิโลเมตร รวมทั้งจับเชลยศึกได้มากกว่า 100 คน
ด้านกระทรวงกลาโหมรัสเซียแถลงในวันเดียวกันว่า ได้สอยโดรนยูเครนร่วง 117 ลำภายในดินแดนของตนในช่วงคืนที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ในแคว้นคูร์สก์, โวโรเนจ, เบลโกร็อด, และแคว้น นิจนี นอฟโกร็อด
ทางกระทรวงยังแถลงในเวลาต่อมาว่า กองกำลังฝ่ายรัสเซียได้ขับไล่การโจมตีของฝ่ายยูเครนที่พยายามบุกเข้ามาหลายครั้งในแคว้นคูร์สก์ รวมทั้งที่รุสสโกเย โปเรชโนเย ซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนยูเครนประมาณ 18 กิโลเมตร โดยที่พวกบล็อกเกอร์เขียนเรื่องสงครามที่เป็นฝ่ายโปรรัสเซียบอกว่า เวลานี้บริเวณแนวหน้าอยู่ในภาวะมีเสถียรภาพแล้ว
ด้านสถานีโทรทัศน์แห่งรัฐของรัสเซีย อ้างว่าเวลานี้กองกำลังแดนหมีขาวกำลังพลิกสถานการณ์กลับมาได้เปรียบกองกำลังยูเครน พร้อมกับเผยแพร่วิดีโอที่อ้างว่าเป็นการโจมตีที่มั่นต่างๆ ของยูเครนอย่างได้ผล เวลาเดียวกันก็เผยแพร่การอพยพพลเรือนรัสเซียออกมาจากพื้นที่ชายแดน
แต่ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของยูเครน พลเอกโอเลคซานดร์ ซีร์สกี แถลงว่า เมืองซุดซา ของรัสเซีย ซึ่งเป็นศูนย์ขนถ่ายก๊าซธรรมชาติรัสเซียที่ส่งไปยังยุโรปโดยผ่านสายท่อส่งซึ่งทอดข้ามยูเครนนั้น ตกอยู่ใต้การควบคุมอย่างสมบูรณ์ของฝ่ายยูเครนแล้ว
พร้อมกันนั้น แหล่งข่าวความมั่นคงชาวยูเครนรายหนึ่งบอกกับรอยเตอร์โดยขอให้สงวนนามว่า ในการโจมตีด้วยโดรนของฝ่ายเคียฟนั้น มีการเข้าถล่มสนามบินทหารของรัสเซียรวม 4 แห่งด้วย โดยถือเป็นความพยายามที่จะทำลายความสามารถของฝ่ายรัสเซียในการเข้าโจมตียูเครนด้วยการใช้อาวุธลูกระเบิดติดอุปกรณ์นำวิถี
ขณะที่กองทหารรักษาดินแดนของรัสเซียเผยว่า ได้ยกระดับการรักษาความปลอดภัยโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ในคูร์สก์ที่อยู่ห่างจากพื้นที่สู้รบเพียง 35 กม.
ที่อเมริกา ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แถลงว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ติดต่อกับยูเครนตลอดเวลาเกี่ยวกับปฏิบัติการบุกรัสเซียที่ผู้นำสหรัฐฯ ชี้ว่า สร้างสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกขนานแท้ให้แก่ปูติน ซึ่งเป็นผู้สั่งการให้กองทัพรัสเซียเปิดฉากรุกรานยูเครนเมื่อต้นปี 2022
ก่อนหน้านี้ทำเนียบขาวยืนยันว่า เคียฟไม่ได้แจ้งล่วงหน้าเรื่องการบุกรัสเซีย และอเมริกาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในปฏิบัติการดังกล่าว แม้เมื่อวันจันทร์ ปูตินประณามว่า “ลูกพี่ตะวันตก” ให้การสนับสนุนยูเครนในการบุกโจมตีข้ามแดน ซึ่งหวังผลในการขัดขวางการรุกคืบของกองกำลังรัสเซียใน “ปฏิบัติการพิเศษทางทหาร” ในยูเครน
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ คนหนึ่งระบุว่า จุดประสงค์ของยูเครนในการบุกแคว้นคูร์สก์ ซึ่งถือเป็นปฏิบัติการโจมตีข้ามพรมแดนรัสเซียโดยกองกำลังต่างชาติครั้งใหญ่ที่สุดนับจากสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น คือการบีบให้มอสโกถอนทหารออกจากยูเครนและโยกย้ายไปปกป้องดินแดนของตัวเองแทน
ด้านเจ้าหน้าที่รัสเซียมองว่า ยูเครนพยายามโชว์ให้ชาติตะวันตกเห็นว่า สามารถทำปฏิบัติการทางทหารขนาดใหญ่ได้ ขณะที่ทั้งเคียฟและมอสโกกำลังถูกกดดันให้ยอมตกลงเจรจาเพื่อยุติสงคราม
ด้วยการย้ายสนามรบไปที่ฝั่งรัสเซีย ยูเครนสามารถกดดันให้พลเรือนรัสเซียเกือบ 200,000 คนต้องอพยพออกจากแคว้นตามแนวชายแดน นอกจากนั้นเมื่อวันพุธ วียาเชสลาฟ แกลดคอฟ ผู้ว่าการแคว้นเบลโกร็อด ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วแคว้น เนื่องจากกองกำลังยูเครนยังระดมโจมตีอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ยูเครนอ้างว่า สามารถควบคุมพื้นที่ในรัสเซียได้อย่างน้อย 1,000 ตารางกิโลเมตร หรือมากกว่าที่มอสโกแถลงกว่าสองเท่าตัว
อย่างไรก็ตาม จอร์จี ทีกี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศยูเครน ยืนยันว่า เคียฟไม่ต้องการยึดครองดินแดนรัสเซีย และเสนอยุติการบุกถ้ามอสโกเห็นด้วยกับการฟื้นฟู “สันติภาพที่เป็นธรรม” พร้อมยืนยันว่า ปฏิบัติการของกองกำลังยูเครนถูกต้องชอบธรรมอย่างแท้จริง
(ที่มา: รอยเตอร์, เอเอฟพี, เอพี)