โพลของนิวยอร์กไทม์สที่เผยแพร่ในวันเสาร์ (10 ส.ค.) พบว่ารองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส มีคะแนนนำอย่างมีนัยสำคัญ เหนืออดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ใน 3 รัฐสมรภูมิ หรือรัฐเหวี่ยง (swing states) อันประกอบด้วยวิสคอนซิน เพนซิลเวเนีย และมิชิแกน อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลในโพลบ่งชี้ว่าการชิงชัยอาจคู่คี่สูสีกว่านั้นในโลกแห่งความเป็นจริง
โพลที่จัดทำโดยสถาบันวิจัยเซียนาคอลเลจ ซึ่งสำรวจความคดิเห็นของผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งเกือบ 2,000 คน พบว่า แฮร์ริส มีคะแนนนิยมเหนือ ทรัมป์ 50% ต่อ 46% ในทั้ง 3 รัฐ โดยการสำรวจครั้งนี้จัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 5 ถึง 9 สิงหาคม หรือในสัปดาห์ที่ แฮร์ริส แถลงเปิดตัว ทิม วอล์ซ ผู้ว่าการรัฐมินนิโซตา ในฐานะคู่ชิงรองประธานาธิบดี
วิสคอนซิน เพนซิลเวเนีย และมิชิแกน เป็นฐานเสียงของเดโมแครต มาตั้งแต่ปี 1992 จนกระทั่งปี 2016 ทรัมป์ ฝ่าฟันเกือบทุกโพล กวาดชัยชนะได้ทั้ง 3 รัฐ ก่อนที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน พลิกกลับมาคว้าชัยในรัฐเหล่านี้ได้ในปี 2020 แต่ด้วยระยะห่างเพียงฉิวเฉียดเท่านั้น
สำหรับทั้ง แฮร์ริส และทรัมป์ การคว้าชัยชนะในเพนซิลเวเนีย ซึ่งมีคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง 19 เสียง หรือในมิชิแกนและวิสคอนซิล ที่มีคะแนนผู้เลือกตั้งรวมกัน 25 เสียง เป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากต่อการคว้าชัยชนะในศึกเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายน
แม้โพลบ่งชี้ว่า แฮร์ริส อยู่บนเส้นทางของการคว้าชัยชนะในทั้ง 3 รัฐ แต่ในแง่ของการวิเคราะห์แล้ว การมีคะแนนนิยมนำหน้าของเดโมแครต อาจเป็นแค่ภาพลวงตา ยกตัวอย่างเช่นเคยมีผู้ตอบแบบสอบถามถึง 45% ในรัฐมิชิแกน ที่บอกว่าจะเลือก ไบเดน ในปี 2020 และเลือกทรัมป์ เพียง 39% ต่อในความเป็นจริงคือ ไบเดน คว้าชัยในมิชิแกน ด้วยระยะห่างไม่ถึง 3 จุด
ทฤษฎีแบบเดียวกันสามารถมองได้กับเพนซิลเวเนียเช่นกัน โดยในศึกเลือกตั้งปี 2020 ผลสำรวจความคิดเห็นพบว่า ไบเดน จะชนะในรัฐแห่งนี้ด้วยระยะห่าง 5 จุด แต่ในความเป็นจริงเขาคว้าชัยชนะอย่างฉิวเฉียดเพียงแค่ 1.2 จุด เช่นเดียวกับในวิสคอนซิน ที่โพลชี้ว่า ไบเดน จะคว้าชัยชนะด้วยความห่างถึง 8 จุด แต่สุดท้ายผลลัพธ์ออกมาว่า เขาได้รับชัยชนะด้วยระยะห่างแค่ 0.6 จุดเท่านั้น
แม้ยังไม่แผยแพร่จุดยืนทางนโยบายใดๆ และยังไม่เคยมีคำถามสื่อมวลชนนับตั้งแต่ประกาศลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่ แฮร์ริส พบเห็นคะแนนนิยมของเธอเพิ่มขึ้นจาก 36% ในเดือนกุมภาพันธ์ เป็น 48% อ้างอิงจากโพสต์ของนิวยอร์กไทม์ส/เซียนา ขณะที่คะแนนนิยมของ ทรัมป์ อยู่ที่ 46% เพิ่มขึ้นจากระดับ 44% ในเดือนกุมภาพันธ์
(ที่มา : อาร์ทีนิวส์)