ราคาน้ำมันขยับขึ้นราว 2% ในวันพุธ (17 ก.ค.) หลังพบคลังปิโตรเลียมสำรองของสหรัฐฯ ลดลงมากกว่าคาด ส่วนวอลล์สตรีทปิดผสมผสาน ถูกฉุดจากความกังวลความขัดแย้งทางการค้าระหว่างอเมริกากับจีน ขณะที่ทองคำปรับลด
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้น 2.09 ดอลลาร์ ปิดที่ 82.85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้านเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนกันยายน เพิ่มขึ้น 1.35 ดอลลาร์ ปิดที่ 85.08 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานแห่งสหรัฐฯ เปิดเผยว่า คลังน้ำมันดิบสำรองของประเทศ ลดลง 4.9 ล้านบาร์เรล ในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 12 กรกฎาคม มากกว่าที่พวกนักวิเคราะห์คาดหมายว่าจะลดลงแค่ 30,000 บาร์เรลในโพลของรอยเตอร์ ในขณะที่รายงานของสถาบันปิโตรเลียมอเมริกา พบว่าคลังน้ำมันดิบสำรองลดลง 4.4 ล้านบาร์เรล
การอ่อนค่าของดอลลาร์เป็นอีกปัจจัยที่สนับสนุนราคาน้ำมัน หลังจากสกุลเงินสหรัฐฯ แตะระดับต่ำสุดในรอบ 17 สัปดาห์ เมื่อเทียบกับตะกร้าเงิน
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดผสมผสานในวันพุธ (17 ก.ค.) โดยโจนส์ดีดตัวขึ้น สวนทางกับเอสแอนด์พีกับแนสแดคที่ดิ่งลงตามแรงฉุดของกลุ่มไมโครชิป ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในความขัดแย้งทางการค้าระหว่างอเมริกากับจีน
ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 243.60 จุด (0.59 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 41,198.08 เอสแอนด์พี ลดลง 78.93 จุด (1.39 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 5,588.27 จุด แนสแดค ลดลง 512.42 จุด (2.77 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 17,996.93 จุด
มีรายงานว่ารัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน กำลังพิจารณากำหนดข้อจำกัดทางการค้าอย่างรุนแรงกับจีน ส่งผลให้หุ้นกลุ่มไมโครชิปลดลง 6.8% โดยที่ฟิลาเดลเฟีย เอสอี เซมิคอนดัคเตอร์ ทำสถิติดิ่งลงวันเดียวหนักหน่วงสุดตั้งแต่เดือนมีนาคม 2020
ขณะเดียวกัน การแกว่งตัวลงของหุ้นกลุ่มยักษ์ใหญ่ที่เรียกว่า Magnificent 7 นำโดยเอ็นวิเดีย และแอปเปิล ฉุดให้แนสแดคปิดลบแรง เช่นเดียวกับเอสแอนด์พี 500
ส่วนราคาทองคำขยับลงในวันพุธ (17 ก.ค.) นักลงทุนขายทำกำไร หลังจากช่วงหนึ่งของการซื้อขายแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากความคาดหมายว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ย โดยราคาทองคำโคเม็กซ์งวดส่งมอบเดือนสิงหาคมลดลง 7.90 ดอลลาร์ ปิดที่ 2,459.90 ดอลลาร์ต่อออนซ์
(ที่มา : รอยเตอร์)