นักการทูตระดับอาวุโสของเกาหลีเหนือซึ่งประจำการอยู่ที่คิวบาหลบหนีพร้อมภรรยาและลูกไปยังเกาหลีใต้เมื่อเดือน พ.ย.ปีที่แล้ว ตามการเปิดเผยของสื่อเกาหลีใต้วันนี้ (16 ก.ค.)
หนังสือพิมพ์โชซอนอิลโบรายงานว่า รี อิล-คยู (Ri Il Kyu) วัย 52 ปี ถือเป็นนักการทูตระดับสูงของโสมแดงรายล่าสุดที่ตัดสินใจแปรพักตร์ไปเข้ากับโซลในช่วงหลังปี 2016 เป็นต้นมา โดยก่อนหน้านี้เขาเคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาประจำสถานทูตเกาหลีเหนือในคิวบา
ด้านสำนักข่าวยอนฮัปก็รายงานตรงกันว่า รี หลบหนีมายังเกาหลีใต้จริง โดยอ้างข้อมูลจากแหล่งข่าวภายในรัฐบาล
กระทรวงการรวมชาติเกาหลีใต้ซึ่งดูแลกิจการข้ามแดนยังคงปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับรายงานเหล่านี้ โดยอ้างว่าเป็นเรื่องส่วนบุคคล
โซชอนอิลโบระบุว่า หนึ่งในภารกิจหลักของ รี คือการขัดขวางไม่ให้คิวบากับเกาหลีใต้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ทว่าทั้ง 2 ชาติก็เพิ่งจะสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไปเมื่อเดือน ก.พ.ปีนี้
รี ให้สัมภาษณ์กับโชซอนอิลโบว่า เขาพาครอบครัวขึ้นเครื่องบินหนีออกจากคิวบา ทว่าไม่ขอแจกแจงรายละเอียดของปฏิบัติการอันสุ่มเสี่ยงนี้
“ผมซื้อตั๋วเครื่องบิน แล้วก็บอกภรรยากับลูกถึงการตัดสินใจครั้งนี้เพียง 6 ชั่วโมงก่อนที่จะหลบหนี ผมไม่ได้บอกพวกเขาว่าเราจะไปเกาหลีใต้ แค่บอกว่าไปอยู่ต่างประเทศกันเถอะ” เขากล่าว
ทั้งนี้ ชาวเกาหลีเหนือที่พยายามหลบหนีและถูกจับได้จะต้องเผชิญบทลงโทษสถานหนัก ตามข้อมูลจากองค์กรสิทธิมนุษยชนและชาวโสมแดงที่หลบหนีมาได้สำเร็จ
ผู้เชี่ยวชาญเผยว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีชาวเกาหลีเหนือหลบหนีออกนอกประเทศได้น้อยลง เนื่องจากรัฐใช้มาตรการควบคุมพรมแดนกับจีนอย่างเข้มงวด อีกทั้งยังต้องเสียค่า “นายหน้า” ที่สูงมาก
ปีที่แล้วมีผู้ลี้ภัยโสมแดงหลบหนีเข้าไปยังเกาหลีใต้ได้เพียง 196 คน ลดลงจากสถิติประมาณ 2,700 คนในช่วง 10 ปีก่อน และส่วนใหญ่ผู้ที่หลบหนีสำเร็จมักจะเป็นคนที่เคยอาศัยอยู่ต่างประเทศเป็นเวลานานอยู่แล้ว เช่น ทูต รี เป็นต้น
รายละเอียดเกี่ยวกับพลเมืองโสมแดงที่หลบหนีมักใช้เวลานานหลายเดือนกว่าจะได้รับการเปิดเผย เนื่องจากพวกเขาต้องผ่านขั้นตอนการรับรองสถานะจากรัฐบาลเกาหลีใต้ และผ่านการศึกษาอบรมเกี่ยวกับสังคมและกฎระเบียบต่างๆ ในเกาหลีใต้เสียก่อน
รี เริ่มเข้าทำงานที่กระทรวงการต่างประเทศเกาหลีเหนือเมื่อปี 1999 และเคยได้รับคำชมจากผู้นำ คิม จองอึน หลังจากที่ไปเจรจาจนรัฐบาลปานามายอมปล่อยเรือของเกาหลีเหนือที่ถูกยึดระหว่างลักลอบขนอาวุธออกจากคิวบาเมื่อปี 2013
อดีตทูตโสมแดงบอกกับโชซอนอิลโบว่า เขาแปรพักตร์เพราะหมดศรัทธาในระบอบคิม และรู้สึกว่าได้รับการประเมินผลงานอย่างไม่เป็นธรรม โดยฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ตัดสินใจหนีคือการที่รัฐบาลเกาหลีเหนือไม่อนุญาตให้เขาเดินทางไปเม็กซิโกเพื่อรักษาอาการป่วยเมื่อปีที่แล้ว อีกทั้งพ่อแม่ตนเอง รวมถึงพ่อตาแม่ยายที่เสี่ยงโดนลงโทษหากครอบครัวของตนหลบหนีก็ได้เสียชีวิตกันไปหมดแล้ว จึงไม่มีอะไรต้องห่วงอีก
การแปรพักตร์ระดับ ไฮ-โปรไฟล์ ที่เคยเป็นข่าวก่อนหน้านี้คือกรณีของ แท ยอง-โฮ (Tae Yong-ho) อดีตอุปทูตเกาหลีเหนือประจำสหราชอาณาจักร ซึ่งหลบหนีมายังเกาหลีใต้เมื่อปี 2016
ที่มา : รอยเตอร์