(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)
Trump: Biden NATO plans provoked the Ukraine war
By DAVID P. GOLDMAN
24/06/2024
โดนัลด์ ทรัมป์ พูดชัดๆ ความคิดเห็นเกี่ยวกับสงครามยูเครน ซึ่งควรที่จะเป็นข่าวพาดหัวใหญ่โต เอาไว้ในพ็อดแคสต์ “ออลอิน” ตั้งแต่เมื่อช่วงกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทว่ากลับถูกละเลยทิ้งขว้างจากพวกสื่อสหรัฐฯรายใหญ่ๆ
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ยั่วยุรัสเซียให้เข้าโจมตียูเครน ด้วยการเสนอว่าจะนำเอายูเครนซึ่งเป็นอดีตสาธารณรัฐหนึ่งในสหภาพโซเวียต เข้าเป็นสมาชิกองค์การนาโต้ อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ โดนัลด์ ทรัมป์ บอกกับพ็อดแคสต์ยอดนิยม “ออลอิน” (All In) [1] เมื่อวันที่ 21 มิถุนายนที่ผ่านมา ถือเป็นคำแถลงที่เสมือนระเบิดลูกใหญ่ ทว่ากลับไม่ได้รับการรายงานเผยแพร่ จากพวกสื่อมวลชนด้านข่าวกระแสหลักของสหรัฐฯกันเลย
“ไบเดนกำลังพูดอะไรทั้งหลายแหล่ที่ล้วนแต่เป็นการทำความผิดพลาดไปเสียทั้งนั้น” ทรัมป์ บอกกับ เดวิด แซคส์ (David Sacks) นักลงทุนเวนเจอร์แคปิตอล (venture capitalist) [2] ที่เป็นหนึ่งในพิธีกรร่วมของ “ออลอิน” ว่า “และหนึ่งในสิ่งเลวร้ายที่สุดที่เขาเคยพูดออกมา ก็คือ ไม่เอาน่ะ ยังไงๆ ยูเครนก็จะต้องเข้ามาอยู่ในนาโต้” ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรครีพับลิกันผู้นี้กล่าวต่อ “เมื่อตอนที่ผมได้ยินเขาพูด ผมบอกเลยว่า หมอนี่กำลังจะเปิดสงครามขึ้นมา อย่างที่พวกคุณรู้กันอยู่แล้ว เป็นเวลาตั้งหลายปีมาแล้วไม่ได้เคยมีการพูดกันหรอกเรื่องรัสเซียกำลังจะบุกเข้าไปในยูเครน นั่นควรจะเป็นเรื่องที่ไม่มีการเกิดขึ้นมาเลย รัสเซียไม่ได้เคยกำลังจะเข้าโจมตียูเครน ....
“แต่แล้วจู่ๆ เลย พวกเขาก็เข้าโจมตี ผมถามว่า ‘เกิดอะไรขึ้นที่นั่นหรือ?’ แต่ถ้าหากคุณมองดูคำพูดคำจาอย่างนั้นจากไบเดน ... จนถึงตอนนี้เขาก็ยังพูดมันอยู่เลย” ทรัมป์ กล่าวต่อ
สิ่งซึ่งอดีตประธานาธิบดีและตัวเก็งแบบแบเบอร์ที่จะได้เป็นผู้สมัครของพรรครีพับลิกันในการเลือกตั้งชิงทำเนียบขาวปี 2024 ผู้นี้พูดออกมาเหล่านี้ คือการระเบิดทำลายทิ้งคำโฆษณาชวนเชื่อมุ่งใส่ร้ายป้ายสีที่ระบุว่า รัสเซียบุกเข้าโจมตียูเครนคราวนี้ เป็นการกระทำอย่างกำเริบอุกอาจโดย “ปราศจากการถูกยั่วยุ” อันเป็นสิ่งที่ถูกป่าวร้องซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างไม่จบไม่สิ้นในห้องเสียงสะท้อนของพวกสื่อมวลชนกระแสหลัก ที่ต้องการให้ทุกๆ คนได้ยินแต่เพียงเสียงก้องย้อนกลับของพวกเขาเองเท่านั้น แท้ที่จริงแล้ว ชนชั้นผู้กุมอำนาจของสหรัฐฯเวลานี้กำลังเจ็บปวดใจจากความอับอายขายหน้าถึง 2 อย่างทับซ้อนกันอยู่ นั่นคือทั้งถูกหยามหยันที่พวกเขาไปยั่วยุจนเกิดสงครามกับรัสเซีย แล้วจากนั้นยังจะต้องถูกดูหมิ่นอีกทอดหนึ่งเมื่อกำลังพ่ายแพ้ปราชัยในสงครามดังกล่าว เป็นไปตามคำพูดปล่อยมุกของ ตาแลร็อง (Talleyrand) รัฐมนตรีต่างประเทศในยุคนโปเลียน ที่ว่า อยู่ในสภาพ “เลวร้ายยิ่งกว่าการก่ออาชญากรรม” เพราะมันคือ “การทำผิดพลาดอย่างร้ายแรงเนื่องจากความสะเพร่า”
(หมายเหตุผู้แปล - ตาแลร็อง ที่มีชื่อเต็มว่า ชาร์ล มอริส เดอ ตาแลร็อง-เปรีกอร์ Charles Maurice de Talleyrand-Périgord เกิดปี 1754 ตายปี 1838 เป็นนักการเมือง, นักการทูตและนักบวชคาทอลิกชาวฝรั่งเศส ที่เคยเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศหรือตำแหน่งทางการทูตที่สำคัญของฝรั่งเศสหลายครั้ง ระยะเวลารับราชการของเขากินเวลายาวนานตั้งแต่รัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ผ่านช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศสเข้าสู่รัชกาลจักรพรรดินโปเลียน และสิ้นสุดในรัชกาลพระเจ้าหลุยส์-ฟีลิปที่ 1 ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A5_%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%AA_%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%AD_%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C)
อีก 1 วันต่อมา ไนเจล ฟาราจ (Nigel Farage) [3] ผู้นำของพรรคปฏิรูปสหราชอาณาจักร (British Reform Party) ที่เป็นเพื่อนมิตรคนหนึ่งของทรัมป์ ได้ออกมาตอกย้ำซ้ำข้อกล่าวหาของทรัมป์อีกคำรบหนึ่ง “การแผ่ขยายนาโต้และสหภาพยุโรปออกไปทางตะวันออกเรื่อยๆ ไม่มีสิ้นสุด กำลังทำให้ชายผู้นี้ (ปูติน) มีเหตุผลที่จะไปบอกกล่าวกับประชาชนชาวรัสเซียของเขาว่า พวกเขา (ฝ่ายตะวันตก) กำลังเข้ามาผลักไสไล่ล่าพวกเรา (ชาวรัสเซีย) อีกแล้ว และกำลังจะก่อสงครามขึ้นมา เรา (ฝ่ายตะวันตก) นั่นแหละคือผู้ยั่วยุให้เกิดสงครามครั้งนี้ขึ้น” ฟาราจ บอกกับผู้สัมภาษณ์ของสถานีวิทยุและโทรทัศน์ บีบีซี “แน่นอนทีเดียว มันเป็นความผิดของเขา (ปูติน) – แต่เขาก็กำลังใช้สิ่งที่เรากระทำลงไป มาเป็นเหตุผลแก้ตัว”
ตรงกันข้ามกับการเก็บตัวเงียบเชียบเป็นเป่าสากของพวกสื่อมวลชนอเมริกัน ทางพวกสื่อสหราชอาณาจักรทั้งหมดโดยรวมทีเดียว ต่างพากันออกมาถลกหนังประณามฟาราจ ผู้นำคนสำคัญคนหนึ่งของขบวนการรณรงค์ให้สหราชอาณาจักรถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป หรือ “เบร็กซิต” (Brexit) ซึ่งในเวลานี้พรรคปฏิรูปของเขากำลังทำคะแนนนิยมในโพลสำรวจ แซงหน้าพรรคอนุรักษนิยมสหราชอาณาจักรที่เป็นพรรคบริหารปกครองประเทศอยู่ในปัจจุบันด้วยซ้ำ ขณที่การเลือกตั้งทั่วไปที่กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 4 กรกฎาคมนี้กำลังขยับใกล้เข้ามาทุกที พวกสื่ออเมริกันนั้นเพิกเฉยไม่สนใจอย่างสิ้นเชิงต่อการแสดงความคิดเห็นของทรัมป์ที่พูดก่อนหน้าฟาราจเสียอีก รายงานที่ปรากฏให้เห็นเพียงอย่างเดียวบนเว็บไซต์ข่าว “กูเกิล นิวส์” (Google News) อยู่ในลักษณะเป็นลิงก์ให้ตามไปอ่านรางานข่าวซึ่งโพสต์โดยสื่อ เคียฟ อินดีเพนเดนต์ (Kyiv Independent)
การแสดงความคิดเห็นที่ไม่ได้ถูกนำมารายงานข่าวของ ทรัมป์ ดังกล่าวข้างต้น จึงมีค่าสมควรที่จะนำมารายงานอ้างอิงกันอย่างยาวๆ ในที่นี้ ในเมื่อไม่ได้มีสื่ออเมริกันใดๆ นำเอามาเผยแพร่กันมาก่อน
“นี่จะไม่มีทางเกิดขึ้นมาเลย ถ้าหากผมยังเป็นประธานาธิบดีอยู่” ทรัมป์ กล่าวต่อในพ็อดแคสต์ “ออลอิน” “ยูเครนจะไม่มีทางเป็นอย่างที่เป็นอยู่ การโจมตีของอิสราเอลก็จะไม่มีทางเกิดขึ้นมา และภาวะเงินเฟ้อก็จะไม่มีทางเกิดขึ้นมา นี่คือ 3 เรื่องที่ใหญ่โตมากนะ คิดดูซี่ ผมอ่านเจอเมื่อวันก่อน ยูเครนเวลานี้นะ พวกเขาไม่ได้มีกำลังทหารแล้วนะ พวกเขาไม่ได้มีกำลังคนแล้ว พวกเขาถึงขั้นต้องการใช้คนแก่”
“อายุโดยเฉลี่ยของทหารของพวกเขาคือ 43 ปี ดังนั้นพวกเขาจึงกำลังมีคนไม่เพียงพอจริงๆ” แซคส์ กล่าวตอบ และถามต่อไปว่า “ท่านประธานาธิบดีครับ ผมซาบซึ้งกับความเห็นของท่านที่ว่า ท่านต้องการนำเอาข้อตกลงสันติภาพเข้ามาสู่ยูเครน เพื่อที่ประชาชนจะได้หยุดล้มตายกันเสียที และผมก็เทใจให้เต็มร้อยเห็นด้วยกับอารมณ์ความรู้สึกเช่นนี้ คราวนี้เพื่อทำดีลสันติภาพให้เกิดขึ้นที่ประเทศนั้น ท่านมีความยินดีหรือไม่ที่จะถอนแผนการในการขยายนาโต้ ออกมาจากโต๊ะเจรจาเสียเลย ถ้าหากว่านั่นดูจะเป็นสิ่งที่ทำให้ฝ่ายรัสเซียและฝ่ายยูเครนยอมทำข้อตกลงกัน? ท่านมีความยินดีที่จะทำอย่างนั้นไหม?”
ทรัมป์ตอบดังนี้: “ตั้งแต่เมื่อสัก 20 ปีมาแล้ว ผมก็ได้ยินแล้วว่า ถ้ายูเครนเข้าไปอยู่ในนาโต้ นี่สำหรับรัสเซียแล้ว มันก็จะกลายเป็นปัญหาอย่างแท้จริงขึ้นมา ผมได้ยินเรื่องอย่างนี้มานานมากแล้ว และผมคิดว่านี่แหละคือเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมสงครามนี้จึงเริ่มต้นขึ้น
.... ไบเดนกำลังพูดทุกสิ่งทุกอย่างที่ผิดพลาดหมดไม่ได้เป็นจริงเอาเลย และหนึ่งในสิ่งผิดๆ อย่างที่ว่าก็คือ การที่เขากำลังพูดว่า ไม่เอาน่ะ ยังไงๆ ยูเครนก็จะต้องเข้ามาอยู่ในนาโต้ .... ‘เมื่อตอนที่ผมได้ยินเขาพูด ผมบอกว่า หมอนี่กำลังจะเปิดสงครามขึ้นมา’ อย่างที่พวกคุณรู้กันอยู่แล้ว เป็นเวลาตั้งหลายปีมาแล้วไม่ได้เคยมีการพูดกันหรอกเรื่องรัสเซียกำลังจะบุกเข้าไปในยูเครน นั่นควรจะเป็นเรื่องที่ไม่มีการเกิดขึ้นมาเลย รัสเซียไม่ได้เคยอยู่ในสภาพที่กำลังจะเข้าโจมตียูเครนนะ”
แซคส์ กล่าวเสริมว่า “สัก 1 เดือนก่อนหน้าที่พวกรัสเซียจะเข้ารุกรานยูเครน (รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ แอนโทนี) บลิงเคน บอกกับ (รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เซียร์เก) ลาฟรอฟ ว่า คณะบริหารไบเดนไม่เพียงกำลังจะนำเอายูเครนเข้านาโต้เท่านั้น แต่พวกเขายังคิดกันด้วยว่า มันเป็นเรื่องโอเคเลยสำหรับการที่สหรัฐฯ ... นำเอาอาวุธนิวเคลียร์เข้าไปไว้ในยูเครน ไม่น่าแปลกใจเลยที่พวกรัสเซียโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ อย่างที่ท่านพูดถึงเรื่องการยั่วยุนั่นแหละ”
ทรัมป์ รับลูกและพูดต่อไปดังนี้: “เรามาสมมุติกันว่าคุณกำลังบริหารปกครองรัสเซียอยู่นะ คุณย่อมไม่ได้รู้สึกชอบอกชอบใจหรอก นั่นเป็นสิ่งที่ถูกบอกปัดไม่ได้รับการหยิบยกขึ้นพิจารณามาโดยตลอด นั่นนะเรื่องพรมแดนนะ ... พวกเขาไม่ต้องการให้มีทหารมาตั้งอยู่ติดพรมแดนของพวกเขาหรอก มันเป็นสิ่งซึ่งเป็นที่รับรู้กันมาโดยตลอด และมันเป็นเรื่องตั้งแต่ก่อนหน้าสมัยของปูตินด้วยซ้ำ คุณสามารถทำอะไรที่ขัดกับความปรารถนาของพวกเขาได้ และมันไม่ได้หมายความว่ามันเป็นเรื่องถูกต้องแล้วนะที่พวกเขาพูดออกมาอย่างนี้ แต่ถึงยังไงมันก็เป็นการยั่วยุกันอย่างมากๆ อยู่ดี”
ไบเดนนั้นเวลานี้คอยหลีกเลี่ยงไม่ตอบตรงๆ เกี่ยวกับลู่ทางความหวังของยูเครนที่จะได้เข้าเป็นสมาชิกของนาโต้ แต่เมื่อเดือนธันวาคม 2021 เขาได้บอกกับประธานาธิบดีเซเลนสกีของยูเครน [4] ว่า มันขึ้นอยู่กับยูเครนเองว่าจะเข้าร่วมหรือไม่ นี่ก็คือมันเป็นการรับรองในทางเป็นจริงว่ายูเครนจะได้เป็นสมาชิกนาโต้นั่นเอง เกี่ยวกับจุดยืนของไบเดนนี้มันไม่ใช่เลยว่าเป็นเรื่องขาดความชัดเจนอะไรทั้งสิ้น วุฒิสมาชิก โจช เฮาลีย์ (Josh Hawley) [5] แห่งพรรครีพับลิกันจากรัฐมิสซูรี ซึ่งเป็นพันธมิตรคนหนึ่งของทรัมป์ ได้เคยออกมาเรียกร้องคณะบริหารไบเดนให้ยุติการสนับสนุนของพวกเขาเพื่อให้ยูเครนได้เข้าเป็นสมาชิกนาโต้ตั้งแต่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2022 แล้ว นั่นคือเพียงแพล็บเดียวไม่นาน ก่อนหน้าที่รัสเซียจะเข้ารุกรานยูเครน
ในคำปราศรัยของเขาเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2022วันสุกดิบก่อนหน้าการรุกรานของรัสเซีย ปูตินได้แจกแจงเหตุผลที่ทำไมรัสเซียจึงจะไม่ยอมอดทนอดกลั้นให้ยูเครนเข้าเป็นสมาชิกนาโต้ เพราะมันจะเปิดทางให้สหรัฐฯสามารถติดตั้งพวกขีปนาวุธพิสัยใกล้ที่จะใช้เวลาบินเพียงแค่ไม่กี่นาทีก็ไปถึงมอสโกได้แล้ว
“กลุ่มพันธมิตร (นาโต้) โครงสร้างทางทหารของพวกเขา ตอนนี้มาถึงชายแดนของรัสเซียแล้ว” ปูติน บอก และกล่าวต่อไปว่า:
นี่คือสาเหตุหลักประการหนึ่งของวิกฤตการณ์ความมั่นคงของยุโรปในเวลานี้ มันเป็นตัวที่ก่อให้เกิดผลกระทบในทางลบมากที่สุดต่อระบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งหมด และนำไปสู่การสูญเสียความไว้เนื้อเชื่อใจในกันและกัน ....
สหรัฐฯกำลังพัฒนาขีปนาวุธอเนกประสงค์ “สแตนดาร์ด มิสไซล์-6” (all-purpose Standard Missile-6) ของพวกเขา ซึ่งสามารถใช้สำหรับการป้องกันภัยทางอากาศและทางขีปนาวุธ ตลอดจนใช้โจมตีเป้าหมายต่างๆ ทางภาคพื้นดินและทางพื้นผิว พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ สิ่งที่อ้างกันว่าเป็นระบบป้องกันขีปนาวุธของสหรัฐฯนั้น กำลังได้รับการพัฒนาและกำลังได้รับการขยายสมรรถนะเชิงรุกใหม่ๆ ของมันมากขึ้นเรื่อยๆ ....
เพนตากอน (กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ) กำลังพัฒนาพวกอาวุธโจมตีจากทางภาคพื้นดินจำนวนมากอย่างเปิดเผยไม่มีปิดบัง รวมทั้งพวกขีปนาวุธทิ้งตัว (ballistic missiles) ซึ่งมีศักยภาพที่จะเข้าโจมตีเป้าหมายที่อยู่ห่างไกลออกไปจนถึงระดับ 5,500 กิโลเมตรีทีเดียว ถ้าระบบดังกล่าวนี้ถูกนำไปติดตั้งประจำการในยูเครน มันก็จะสามารถโจมตีใส่เป้าหมายต่างๆ ในดินแดนส่วนซึ่งอยู่ทางยุโรปของรัสเซียได้ทั้งหมด ระยะเวลาที่ขีปนาวุธร่อนโทมาฮอว์ก (Tomahawk cruise missiles) ต้องใช้สำหรับการบินเข้าสู่กรุงมอสโกจะน้อยกว่า 35 นาที ส่วนขีปนาวุธทิ้งตัวที่ปล่อยออกจากคาร์คอฟ (Kharkov) จะใช้เวลาแค่ 7 ถึง 8 นาที, และสำหรับพวกอาวุธโจมตีความเร็วสูงระดับไฮเปอร์โซนิก (hypersonic ความเร็วเหนือเสียงตั้งแต่ 5 เท่าขึ้นไป) ก็ 4 ถึง 5 นาทีเท่านั้น
(คาร์คอฟ Kharkov ในภาษารัสเซีย หรือ คาร์คิฟ Kharkiv ในภาษายูเครน เป็นชื่อแคว้นและเมืองเอกของแคว้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของยูเครน และประชิดติดกับชายแดนรัสเซีย โดยที่เมืองคาร์คอฟยังเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของยูเครนอีกด้วย ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Kharkiv_Oblast และ https://en.wikipedia.org/wiki/Kharkiv -ผู้แปล)
มันเหมือนกับถูกมีดจ่อใส่คอหอย ผมไม่มีข้อสงสัยใดๆ เลยว่าพวกเขาวาดหวังที่จะดำเนินการไปตามแผนการเหล่านี้ อย่างที่พวกเขาได้กระทำมาแล้วหลายๆ ครั้งในอดีตที่ผ่านมา ในการขยายนาโต้มาทางตะวันออก ในการเคลื่อนย้ายโครงสร้างทางทหารของพวกเขามายังชายแดนรัสเซีย และเพิกเฉยไม่แยแสใดๆ เลยต่อการแสดงความกังวล, การประท้วง, และการส่งเสียงเตือนของพวกเรา”
ประเด็นนี้อยู่ในลักษณะเดียวกันกับวิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบาปี 1962 (the 1962 Cuban Missile Crisis) สหรัฐฯได้ติดตั้งขีปนาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลางที่บริเวณชายแดนตุรกีติดต่อกับรัสเซีย และรัสเซียก็ตอบโต้ด้วยการจัดส่งขีปนาวุธเข้าไปในคิวบา (ซึ่งอยู่ใกล้แผ่นดินใหญ่สหรัฐฯมากๆ) รัสเซียตกลงยอมถอนขีปนาวุธเหล่านั้นออกจากคิวบา หลังจากสหรัฐฯตกลงถอนขีปนาวุธของตนออกจากตุรกี โดยที่การตกลงกันคราวนั้นถูกเก็บเป็นความลับอยู่เป็นแรมปีด้วยเหตุผลเพื่อเป็นการรักษาหน้ากันเอาไว้
(สิ่งที่ถูกเก็บเป็นความลับคือ ส่วนของข้อตกลงที่สหรัฐฯยอมถอนขีปนาวุธของตนออกจากตุรกี ขณะที่การถอนขีปนาวุธรัสเซีย ซึ่งเวลานั้นก็คือสหภาพโซเวียต ออกจากคิวบา เป็นข่าวที่ถูกประโคมโด่งดัง และเรื่องนี้ทำให้สหภาพโซเวียตถูกมองว่ายอมอ่อนข้ออย่างน่าอับอายให้แก่สหรัฐฯ เมื่อถูกวอชิงตันยื่นคำขาด ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Cuban_Missile_Crisis)
พวกสมาชิกของชนชั้นผู้กุมอำนาจในวอชิงตันทราบดีอยู่แล้วว่ารัสเซียจะตอบโต้อย่างไร เพราะรัสเซียได้เคยแจ้งพวกเขาอย่างละเอียดและอย่างยืดยาวมาแล้วว่าตนจะตอบโต้อย่างไรบ้าง ทว่าชนชั้นผู้กุมอำนาจในวอชิงตันกลับมองเรื่องนี้ว่าเป็นโอกาสอันดีสำหรับการล่อหลอกรัสเซียให้ต้องแสดงตัวออกมา แล้วจะได้บดขยี้พวกเขาด้วยการแซงก์ชั่นทางเศรษฐกิจ
ไบเดนเคยทวิต [6] เอาไว้เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2022 ด้วยข้อความว่า “ด้วยผลจากการแซงก์ชั่นอย่างมโหฬารชนิดไม่เคยปรากฏมาก่อนของเรา เงินรูเบิลก็แหลกลาญกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยไปแทบทันที เศรษฐกิจรัสเซียกำลังอยู่ในเส้นทางที่จะถูกตัดถูกหั่นลงมาเหลือแค่ครึ่งหนึ่ง พวกเขาเป็นระบบเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 11 ของโลกก่อนการรุกรานคราวนี้ –และอีกไม่ช้าไม่นาน พวกเขาก็จะไม่สามารถติดอันดับแม้กระทั่งในระดับท็อป 20”
แต่ในความเป็นจริง เมื่อถึงปี 2023 รัสเซียกลับแซงหน้าญี่ปุ่นขึ้นเป็นระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดอันดับ 4 ของโลก ทั้งนี้ตามตัวเลขข้อมูลของธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์)
ความหายนะที่ยูเครนนี้ กำลังส่งผลหนักหน่วงสาหัสยิ่งกว่า “พวกสงครามสู้รบไปตลอดกาล” ในอัฟกานิสถาน และอิรัก เสียอีก ในแง่มุมของการมีศักยภาพที่จะบ่อนทำลายฐานะความเป็นเจ้าเหนือใครๆ ของอเมริกัน (American hegemony) ทั้งนี้ พวกพันธมิตรทั้งหลาย (หรือพวกที่กำลังจะกลายเป็นอดีตพันธมิตรในอีกไม่ช้าไม่นานนัก) ของอเมริกา ไม่ได้หลงอยู่ในมายาภาพเกี่ยวกับเรื่องนี้หรอก
“ยูเครนและการพังครืนของฝ่ายตะวันตก” (Ukraine and the collapse of the West) คือพาดหัวข่าวเมื่อวันที่ 23 มิถุนายนที่ผ่านมา ของ ไพโอเนียร์บรีฟวิ่ง (Pioneer Briefing) [7] จดหมายข่าวรายวันที่มียอดจำหน่ายสูงสุดของเยอรมนี กาบอร์ สไตน์การ์ต (Gabor Steingart) บรรณาธิการของจดหมายข่าวฉบับนี้ เขียนเอาไว้ว่า “ยูเครนกำลังเหนื่อยล้าอ่อนกำลัง ทางค่ายอนุรักษนิยมก็แตกแยกกัน และวงการธุรกิจย่อมมีความปรารถนาที่จะกลับมีความสัมพันธ์อย่างเป็นปกติกับรัสเซีย” เขาหยิบยกเหตุผลรวม 6 ประการซึ่งอธิบายว่าทำไมจึงพ่ายแพ้ในสงครามครั้งนี้ ได้แก่
**ยูเครนเป็น “ประเทศที่เหนื่อยล้าอ่อนกำลังไปเสียแล้ว”
**ยุทธศาสตร์ของฝ่ายตะวันตกในการโดดเดี่ยวรัสเซีย ประสบความล้มเหลว
**อเมริกามีความเหน็ดหน่ายในการส่งออกประชาธิปไตยไปต่างแดน
**เยอรมนีกำลังถอยห่างจากการให้ความสนับสนุนสงครามคราวนี้ที่ต้องดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
**ค่ายอนุรักษนิยมในเยอรมนีแตกแยกกัน โดยที่ อาร์มิน ลาเช็ต (Armin Laschet) ชาวพรรคคริสเตียนเดโมแครต คนสำคัญมาก กำลังให้ความสนับสนุนท่าทีแบบระมัดระวังตัวในเรื่องยูเครนของรัฐบาล(ผสมของเยอรมนีชุดปัจจุบันที่มี)พรรคโซเชียลเดโมแครต (เป็นแกนนำ) และ
**ภาคธุรกิจกำลังพากันมองไปข้างหน้ ามุ่งไปที่เรื่องการฟื้นฟูบูรณะ (ยูเครนหลังสงคราม) กันแล้ว
ลาเช็ต ซึ่งเป็นผู้ที่พรรคคริสเตียนเดโมแครตยูเนียน (CDU) ส่งเข้าประกวดเพื่อชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเยอรมนีเมื่อปี 2021 ตอนนี้ได้รับรองนโยบาย “สุขุมและระมัดระวัง” ของนายกรัฐมนตรีโอลาฟ ช็อตซ์ ในการดำเนินการเรื่องยูเครน ซึ่งก็คือการปิดฉากจุดยืนสายเหยี่ยว (หนุนยูเครน)อย่างแข็งกร้าวของ ฟรีดริช เมร์ซ (Friedrich Merz) ผู้นำพรรค CDU
ในการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภายุโรปเมื่อวันที่ 9 มิถุนายนปีนี้ พวกพรรคต่อต้านสงครามในยูเครน โดยที่สำคัญที่สุดคือพรรค อัลเทอร์เนทีฟ ฟือร์ ดอยต์ชแลนด์ (Alternative für Deutschland หรือ AfD พรรคที่ได้ชื่อว่าพรรคแนวทางขวาจัด และนักประชานิยมฝ่ายขวา -ผู้แปล) ได้คะแนนเพิ่มขึ้นมาก ขณะที่ผู้สูญเสียรายใหญ่ๆ ได้แก่ พรรคโซเชียลเดโมแครต และพรรคกรีนส์ (Greens) แล้วที่น่าจับตามองยิ่งกว่านั้นอีก คือ สมาชิกจำนวนมากทีเดียวของพรรคคริสเตียนเดโมแครต ซึ่งเป็นพรรคการเมืองใหญ่ที่สุดของเยอรมนี บอกกับสื่อ ดีเวลท์ (Die Welt) ในการหยั่งเสียงเมื่อเร็วๆ นี้ว่า พวกเขายินดีที่จะจับมือเป็นแนวร่วมกับพรรค AfD มากกว่าพรรคอื่นๆ
ข้อมูลจากการหยั่งเสียงเป็นการภายในของพรรค AfD ระบุว่า สงครามยูเครนเป็นประเด็นระดับท็อปสุดสำหรับพวกผู้ออกเสียงชาวเยอรมนี มีผู้ตอบแบบสอบถาม 26% บอกว่า “การทำให้เกิดสันติภาพขึ้นมา” คือเรื่องอันดับหนึ่งที่พวกเขาให้ความสนใจ ติดตามมาด้วยเรื่องการประกันสังคม (อยู่ที่ 23%) และปัญหาผู้อพยพ ซึ่งอยู่ที่ 17%
จากความล้มเหลวไม่สามารถโดดเดี่ยวรัสเซีย และยิ่งประสบความสำเร็จน้อยเข้าไปใหญ่ในการการทำให้รัสเซียปราชัย พวกชนชั้นผู้กุมอำนาจเวลานี้จึงกำลังหันมาเรียกร้องให้ใช้ประดามาตรการแบบเข้าตาจน เป็นต้นว่า การโจมตีโครงสร้างทางทหารของรัสเซียด้วยอาวุธฝ่ายตะวันตกจากดินแดนของยูเครน ทางปูตินได้ตอบโต้ด้วยการเสนอให้อาวุธไฮเทคของรัสเซีย --ถึงแม้ยังไม่มีการระบุชัดเจนลงไปว่าเป็นอะไร-- ให้แก่เกาหลีเหนือ
ชาติที่มีอาวุธนิวเคลียร์ และถูกพวกประเทศเพื่อนบ้านมองว่าไม่แน่ไม่นอนคาดเดาได้ยาก
การที่ปูตินไปเยือนเกาหลีเหนือเมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ก่อให้เกิดความหนาวสะท้านไปทั่วทั้งกลุ่มชนชั้นผู้กุมอำนาจ หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ [8] เขียนเอาไว้ดังนี้:
“ถือเป็นหนึ่งในช่วงขณะแห่งการถอยหลังกลับไปสู่ยุคสงครามเย็นอย่างโจ่งแจ้งที่สุดเท่าที่ปรากฏขึ้นมาในตอนนี้ มิสเตอร์ปูตินได้ไปเยือนกรุงปียงยางในวันพุธ (19 มิถุนายน) –และมีการประกาศ (ว่าทั้งสองประเทศ) ทำข้อตกลงฉบับหนึ่งซึ่งทั้งสองฝ่ายตกลงจัดหา “ความช่วยเหลือให้แก่กันและกันในกรณีที่ถูกรุกราน” – เป็นการตอบย้ำให้เห็นว่าความพยายามของ 3 มหาอำนาจนิวเคลียร์ใหญ่ที่สุดของโลก (ได้แก่สหรัฐฯ-รัสเซีย-จีน) เพื่อหยุดยั้งการแพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์โดยเกาหลีเหนือ กำลังล้มหายตายจากไปเสียแล้ว และตายไปสักระยะหนึ่งแล้วจริงๆ ....
ปูตินกระทำสิ่งที่ไปไกลยิ่งกว่าแค่โยนทิ้งการทำเสมือนกับปรารถนาที่จะให้บังเกิดความแน่ใจว่าจะมีการยับยั้งชั่งใจในเรื่องนิวเคลียร์ เขาสัญญาให้ความช่วยเหลือทางเทคโนโลยีแบบยังไม่ได้ระบุเจาะจง ซึ่ง – ถ้ามันครอบคลุมถึงพวกเทคโนโลยีสำคัญยิ่งยวดสองสามอย่างที่มิสเตอร์คิมเฝ้าเสาะแสวงหาอยู่อย่างเต็มที่ – ก็อาจสามารถช่วยเหลือการดีไซน์หัวรบบรรจุในขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ ให้ทิ้งตัวกลับเข้าสู่บรรยากาศของโลกได้สำเร็จราบรื่น และเป็นการคุกคามต่อพวกปรปักษ์จำนวนมากของพวกเขา เริ่มต้นตั้งแต่สหรัฐฯอเมริกา
คนอเมริกันชอบเล่นเกมโมโนโปลี แต่คนรัสเซียชอบเล่นหมากรุก [9] ปูตินได้เปิดการรุกทางปีกในทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อฝ่ายตะวันตกขึ้นมา ทั้งนี้ด้วยจุดมุ่งหมายที่จะบังคับฝ่ายตะวันตกให้ยอมรับดอกผลทางดินแดนที่รัสเซียได้รับมาจากการศึกในยูเครน เฉกเช่นเดียวยินยอมให้ยูเครนต้องประกาศยึดถือนโยบายความเป็นกลาง
เชิงอรรถ
[1] https://www.youtube.com/watch?v=blqIZGXWUpU
[2] https://www.youtube.com/watch?v=blqIZGXWUpU
[3] https://edition.cnn.com/2024/06/22/europe/nigel-farage-ukraine-russia-eu-provoke-intl/index.html
[4] https://www.reuters.com/world/europe/ukrainian-president-zelenskiy-holding-talks-with-biden-adviser-says-2021-12-09/
[5] https://www.axios.com/2022/02/02/josh-hawley-biden-ukraine-nato-membership
[6] https://x.com/POTUS/status/1507842574865866763
[7] https://www.thepioneer.de/originals/thepioneer-briefing-business-class-edition/articles/ukraine-das-scheitern-des-westens?gift=mEuMG6Z8TT&utm_campaign=5jzpqO48gBYUWulB0r3Can&utm_medium=digital_present&utm_source=thepioneer
[8] https://www.nytimes.com/2024/06/19/us/politics/putin-kim-russia-nuclear.html
[9] https://asiatimes.com/2008/08/americans-play-monopoly-russians-chess/