คณะผู้พิพากษาในศาลสูงสุดบราซิลลงมติด้วยเสียงข้างมาก ตัดสินให้การครอบครองกัญชาเพื่อใช้ส่วนตัว เป็นเรื่องผิดกฎหมายแต่ไม่ถือเป็นความผิดทางอาญา หลังใช้เวลาพิจารณาคดียาวนานหลายปีและเต็มไปด้วยความขัดแย้ง
หลุยส์ โรเบอร์โต บาร์โรโซ ประธานศาลสูงสุดแถลงเมื่อวันอังคาร (25 มิ.ย.) ว่า ผู้พิพากษา 8 คน จาก 11 คนลงมติให้การครอบครองกัญชาปริมาณเล็กน้อยยังคงเป็นการกระทำผิดกฎหมาย แต่ไม่ต้องถูกลงโทษตามกระบวนพิจารณาทางอาญา
คณะผู้พิพากษายังถกเถียงเกี่ยวกับปริมาณการครอบครองกัญชาที่จะแยกแยะความแตกต่างระหว่างผู้ใช้ทั่วไปกับผู้ค้ายา โดยมีการเสนอเกณฑ์ตั้งแต่ 25 กรัม จนถึง 60 กรัม และจะมีการประกาศการตัดสินใจในวันพุธ (26 มิ.ย.)
ผู้ที่นำคดีนี้เข้าสู่การพิจารณาของศาลสูงสุดคือกลุ่มทนายความของนักโทษคนหนึ่งที่ถูกเพิ่มโทษจากการซุกซ่อนกัญชา 3 กรัมในห้องขัง
การพิจารณาคดีนี้เริ่มต้นขึ้นในปี 2015 และถูกขัดจังหวะหลายครั้ง
ทั้งนี้ กฎหมายฉบับปัจจุบันของบราซิลซึ่งมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2006 ระบุว่า การซื้อ ครอบครอง หรือขนยาเสพติดโดยไม่ได้รับอนุญาต ถือเป็นอาชญากรรม
กฎหมายฉบับนี้ได้ยกเลิกโทษจำคุกสำหรับผู้กระทำความผิดเช่นนี้เพื่อการใช้ส่วนตัว แต่ไม่ได้ระบุชัดเจนว่า ปริมาณการครอบครองเท่าใดถือเป็นการใช้ส่วนตัวซึ่งจะได้รับโทษสถานเบาที่ไม่ใช่การจำคุก เช่น การทำงานบริการชุมชน และปริมาณเท่าใดจึงถือเป็นการค้ายาเสพติดซึ่งมีโทษจำคุกอย่างแรง โดยให้ทาง ตำรวจ อัยการ และผู้พิพากษาเป็นผู้พิจารณา
ในการลงมติตสินของคณะผู้พิพากษาศาลสูงสุดเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งเสียงส่วนใหญ่ให้ยกเลิกความผิดทางอาญาสำหรับการใช้กัญชาเป็นการส่วนตัวนั้น ผู้พิพากษาศาลสูงสุด อเล็กซานเดอร์ เดอ มอเรส ได้กล่าวแสดงความเห็นว่า พวกที่ถูกกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันลงโทษมากที่สุด คือคนหนุ่มสาว โดยเฉพาะคนผิวดำ ซึ่งถูกปฏิบัติราวกับเป็นผู้ค้ายา ทั้งที่ครอบครองกัญชาปริมาณเล็กน้อยเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้มีการถกเถียงกันอย่างดุเดือดในบราซิล ซึ่งกลุ่มเคลื่อนไหวอนุรักษนิยมทรงอิทธิพลคัดค้านการยกเลิกความผิดทางอาญาให้แก่การครอบครองกัญชาอย่างแข็งขัน
เดือนเมษายนที่ผ่านมา วุฒิสภาที่กลุ่มอนุรักษนิยมครองเสียงข้างมาก อนุมัติร่างแก้ไขกฎหมายที่ให้ถือว่าการครอบครองกัญชาไม่ว่าปริมาณเท่าใดเป็นความผิดตามรัฐธรรมนูญ และเตรียมส่งต่อร่างกฎหมายนี้ให้สภาผู้แทนราษฎรอภิปรายเร็วๆ นี้
นอกจากนี้แล้ว การใช้กัญชาทางการแพทย์ก็จุดชนวนการถกเถียงในแดนแซมบาเช่นกัน โดยผู้ป่วยถูกบังคับให้ต้องขออนุญาตจากศาลก่อนจึงจะนำมาใช้ได้ ซึ่งการพิจารณาจะอิงกับซีบีดี อันเป็นสารในกัญชาที่ไม่ส่งผลข้างเคียงทางจิตประสาท สำหรับใช้สำหรับการรักษาโรคลมชักรุนแรงบางประเภท
ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลายประเทศในโลกได้ผ่อนเบาโทษทางอาญาสำหรับการใช้กัญชาเพื่อสันทนาการ โดยยกเลิกโทษจำคุกสำหรับผู้ใช้ แต่มีเพียงไม่กี่ประเทศเท่านั้นซึ่งไปถึงขั้นอนุญาตให้ใช้กัญชาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เช่น อุรุกวัยในปี 2013 ขณะที่เยอรมนีเป็นประเทศใหญ่ที่สุดในสหภาพยุโรป (อียู) ที่อนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อสันทนาการได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายในปีนี้ เช่นเดียวกับมอลตาและลักเซมเบิร์ก
(ที่มา: เอเอฟพี)