ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ยกเลิกข้อจำกัดที่กำหนดกับยูเครนต่อการใช้อาวุธที่จัดหาให้โดยสหรัฐฯ เล่นงานเป้าหมายต่างๆ ในดินแดนรัสเซีย อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นการอนุมัติให้ใช้เพื่อปกป้องแคว้นคาร์คิฟ ที่ถูกโจมตีอย่างหนักเท่านั้น จากการปิดเผยของเจ้าหน้าที่อเมริกาในวันพฤหัสบดี (30 พ.ค.)
ไบเดน อยู่ภายใต้แรงกดดันหนักหน่วงยิ่งขึ้นจากยูเครน ที่กำลังสิ้นหวัง ที่เรียกร้องให้ยกเลิกมาตรการแบนดังกล่าว แต่ที่ผ่านมา ยังคงปฏิเสธท่ามกลางความกังวลว่ามันอาจลากนาโตเข้าสู่การเผชิญหน้าโดยตรงกับรัสเซีย
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ รายหนึ่งซึ่งไม่ประสงค์เอ่ยนาม เปิดเผยว่า "เมื่อเร็วๆ นี้ท่านประธานาธิบดีสั่งการให้คณะทำงานของท่าน รับประกันว่ายูเครนจะสามารถใช้อาวุธที่จัดหาให้โดยสหรัฐฯ เพื่อจุดประสงค์ในการยิงตอบโต้ในแคว้นคาร์คิฟ เพื่อที่ยูเครนจะสามารถโจมตีตอบโต้กลับกองกำลังรัสเซีย ที่โจมตีพวกเขาหรือกำลังเตรียมพร้อมโจมตีพวกเขา"
"นโยบายของเราในเรื่องเกี่ยวกับการห้ามใช้ระบบ ATACMS หรือขีปนาวุธพิสัยไกลภายในรัสเซียยังคงไม่เปลี่ยนแปลง" เจ้าหน้าที่รายนี้กล่าว อ้างถึงขีปนาวุธพิสัยไกลที่วอชิงตันเพิ่งส่งให้เคียฟเมื่อเร็วๆ นี้ ขณะที่เจ้าหน้าที่อเมริกาอีกคนยืนยันถึงการเปลี่ยนแปลงทางนโยบายในครั้งนี้ของไบเดน
ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน พยายามเดินหน้ากดดันบรรดาผู้สนับสนุนของเคียฟ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐฯ อนุญาตให้พวกเขาใช้อาวุธพิสัยไกลกว่าเดิมที่ได้รับมอบจากตะวันตก โจมตีเป้าหมายต่างๆ ภายในดินแดนรัสเซีย และบางประเทศในนั้นรวมถึงสหราชอาณาจักร และเนเธอร์แลนด์ แสดงท่าทีหนุนหลัง บอกว่าเคียฟมีสิทธิใช้อาวุธของพวกเขาโจมตีเป้าหมายทางทหารในรัสเซีย
ในส่วนของสหรัฐฯ ทางแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศ แย้มในวันพุธ (29 พ.ค.) ระหว่างเดินทางเยือนมอลโดวา ก่อนหน้าการประชุมนาโต ในกรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก ว่า ไบเดน อาจเปลี่ยนความคิด โดยระบุอเมริกามีความยืดหยุ่นและมีการปรับตัว สืบเนื่องจากสถานการณ์ในสมรภูมิรบที่เปลี่ยนแปลงไป
มีรายงานว่าอย่างกว้างขวางว่า บลิงเคน ซึ่งเพิ่งเดินทางเยือนกรุงเคียฟเมื่อช่วงกลางเดือน และได้พบเห็นสถานการณ์เลวร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางการเดินหน้ารุกคืบเข้าหาเมืองคาร์คิฟของรัสเซีย เป็นคนกดดันให้ ไบเดน ผ่อนปรนข้อจำกัดด้านการใช้อาวุธของสหรัฐฯ
ก่อนหน้าการประชุมนาโต ซึ่งเริ่มด้วยการรับประทานอาหารค่ำในวันพฤหัสบดี (30 พ.ค.) เยนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการของพันธมิตรทหารแห่งนี้ เน้นย้ำว่ามันถึงเวลาแล้วที่บรรดารัฐสมาชิกจะพิจารณาทบทวนยกเลิกข้อจำกัดดังกล่าว เพราะว่ามันกัดเซาะศักยภาพด้านการป้องกันตนเองของยูเครน
ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส ก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนจุดยืนเช่นกันเมื่อวันอังคาร (28 พ.ค.) บอกว่ายูเครนควรได้รับอนุญาตให้ "กำจัด" ฐานทัพต่างๆ ในรัสเซียที่ใช้เปิดฉากการโจมตี
อย่างไรก็ตาม โอลาฟ โชลซ์ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ยังคงส่งเสียงคัดค้าน โดยบอกว่ายูเครนควรปฏิบัติอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย และเบอร์ลินจะไม่จัดหาอาวุธไม่ว่าจะทางหนึ่งทางใด ที่อาจถูกนำไปใช้โจมตีรัสเซีย
ความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะอนุมัติให้ยูเครน ใช้อาวุธโจมตีใส่ดินแดนรัสเซีย มีขึ้นแม้มีเสียงเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากรัสเซียเกี่ยวกับสงครามนิวเคลียร์ ในนั้นรวมถึงความเห็นล่าสุดของ ดมิตรี ซุสลอฟ สมาชิกสภานโยบายต่างประเทศและกลาโหม ซึ่งมีฐานที่กรุงมอสโก ที่เสนอให้รัสเซียพิจารณา “สาธิต” การจุดระเบิดนิวเคลียร์ เพื่อข่มขวัญชาติตะวันตกไม่ให้อนุญาตให้ยูเครนใช้อาวุธโจมตีดินแดนภายในรัสเซีย
ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ให้สัมภาษณ์เมื่อเดือนมีนาคมว่ารัสเซียพร้อมที่จะทำ "สงครามนิวเคลียร์" หากอธิปไตยของชาติโดนคุกคาม
(ที่มา : เอเอฟพี/เอเจนซี)