อเมริกาอ้างไม่ได้มองข้ามชะตากรรมของพลเรือนปาเลสไตน์ แต่ยังไม่เปลี่ยนนโยบายเรื่องจัดส่งอาวุธให้รัฐยิว เนื่องจากเชื่อว่าอิสราเอลไม่ได้เปิดปฏิบัติการบุกราฟาห์เต็มพิกัด ถึงแม้รายงานสถานการณ์ล่าสุดระบุกองทัพยิวบุกถึงใจกลางเมืองทางตอนใต้สุดของฉนวนกาซาแห่งนี้แล้วก็ตาม อีกทั้งมีข่าวอิสราเอลยังคงระดมโจมตีค่ายผู้ลี้ภัยสงครามหลายแห่งทั่วกาซา
ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เคยออกมาประกาศขึงขังว่า จะจำกัดการจัดส่งอาวุธให้ หากอิสราเอลบุกเข้าไปใน “ศูนย์กลางประชากร” ของเมืองราฟาห์ที่เชื่อว่า ยังมีพลเรือนหลบภัยสงครามอยู่นับแสนคน
ทว่า เมื่อวันอังคาร (28 พ.ค.) ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากกองทัพยิวบุกถึงใจกลางเมืองราฟาห์ และยึดภูเขาสำคัญทางยุทธศาสตร์ที่มองลงมาเห็นชายแดนที่ติดกับอียิปต์ได้ จอห์น เคอร์บี โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ แถลงว่า ทำเนียบขาวไม่ได้มองข้ามชะตากรรมของพลเรือนปาเลสไตน์ แต่ยังไม่มีแผนเปลี่ยนแปลงนโยบายต่ออิสราเอล เนื่องจากไม่เชื่อว่าอิสราเอลเริ่มปฏิบัติการบุกราฟาห์เต็มรูปแบบ ซึ่งตามคำจำกัดความของทำเนียบขาวนั้น หมายถึงการนำกำลังทหารและอาวุธจำนวนมากเข้าปฏิบัติภารกิจร่วมกันในการโจมตีเป้าหมายภาคพื้นดินหลายแห่ง
คำแถลงของโฆษกผู้นี้ยังมีขึ้นหลังการโจมตีเมื่อคืนวันอาทิตย์ (26) ที่ส่งผลให้เกิดไฟไหม้รุนแรงในค่ายผู้ลี้ภัยสงครามในเขตทัล อัล-สุลต่าน ของเมืองราฟาห์ จนมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 45 คน ซึ่งในเวลาต่อมากองทัพอิสราเอลอ้างว่า อาวุธที่ฝ่ายตนใช้อยู่ในการปฏิบัติการตรงนั้นไม่สามารถทำให้เกิดไฟไหม้รุนแรงได้ แต่สาเหตุของอัคคีภัยอาจเกิดจากการระเบิดในคลังอาวุธของกลุ่มฮามาส
เคอร์บีกล่าวถึงภาพวิดีโอจากเหตุการณ์ดังกล่าวว่า “น่าสลดและน่ากลัว” และบอกอีกว่า ไม่ควรมีผู้บริสุทธิ์ต้องสังเวยชีวิตจากการสู้รบขัดแย้งนี้
อิสราเอลนั้นยืนกรานว่า ชัยชนะในสงครามปิดล้อมถล่มกาซาของตนที่ดำเนินมากว่า 7 เดือน จะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าไม่มีการส่งกำลังภาคพื้นดินเข้ายึดราฟาห์ พร้อมปฏิเสธเสียงเตือนของนานาชาติที่ว่า ปฏิบัติการดังกล่าวจะทำให้เกิดความหายนะด้านมนุษยธรรม
กองทัพอิสราเอลเริ่มปฏิบัติการบุกภาคพื้นดินที่พวกเขาอ้างว่าอยู่ในลักษณะ “กำหนดเป้าหมาย” มุ่งกวาดล้างพวกนักรบและโครงสร้างพื้นฐานของฮามาส ในบริเวณด้านตะวันตกของเมืองราฟาห์เมื่อวันที่ 6 พ.ค. และนับจากนั้นรถถังและทหารอิสราเอลค่อยๆ รุกไปยังตอนกลางและด้านตะวันออกของเมือง รวมถึงเคลื่อนขึ้นทางด้านเหนือ และลงใต้ จดตลอดแนวชายแดนติดต่อกับอียิปต์ความยาว 13 กิโลเมตร
ในการปราศรัยต่อรัฐสภาอิสราเอลเมื่อคืนวันจันทร์ (27) นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู กล่าวถึงการโจมตีค่ายผู้ลี้ภัยสงครามในเขตทัล อัล-สุลต่านว่าเป็น “อุบัติเหตุน่าเศร้า” แต่ยืนกรานว่า ปฏิบัติการในราฟาห์ต้องดำเนินต่อไป
ขณะที่พวกพลเรือนในราฟาห์เผยว่า มีการทิ้งระเบิดอย่างหนักในหลายเขตด้านตะวันตกของราฟาห์เมื่อคืนวันจันทร์ และรถถังอิสราเอลบุกถึงใจกลางเมืองราฟาห์เป็นครั้งแรกเมื่อวันอังคาร
วันเดียวกันนั้น กองทัพอิสราเอลแถลงว่า ยังคงเดินหน้าโจมตีเป้าหมายกลุ่มก่อการร้ายในราฟาห์ พร้อมปฏิเสธข่าวลือที่ว่า กองทัพส่งรถถังไปโจมตีค่ายผู้ลี้ภัยสงครามอีกแห่งในเขตมนุษยธรรมในอัล-มาวาซี ที่มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 21 คน โดยค่ายดังกล่าวอยู่ทางฝั่งตะวันตกของราฟาห์
ผู้ที่หลบภัยอยู่ในราฟาห์เผยว่า อิสราเอลเปลี่ยนยุทธวิธีในการบุกภาคพื้นดิน ด้วยการส่งรถถังบุกเข้าไปถึงเขตทัล อัล-สุลต่าน ทางตะวันตก และยิบนา และชาบูราที่อยู่กลางเมือง ก่อนถอยกลับไปยังที่มั่นใกล้ชายแดนติดกับอียิปต์
ชาวบ้านบางคนยังเห็นยานยนต์หุ้มเกราะไร้คนขับเคลื่อนไหวระดมยิงด้วยปืนกลในบางพื้นที่
นอกจากนี้ สำนักข่าวชีบับที่เป็นฝ่ายสนับสนุนฮามาส รวมทั้งชาวบ้านและนักข่าวบางคน รายงานว่า การสื่อสารทางอินเทอร์เน็ตและมือถือถูกตัดในบางพื้นที่ทั้งทางตะวันตกและตะวันออกของราฟาห์ ขณะที่อิสราเอลระดมทิ้งระเบิด ทว่ากองทัพอิสราเอลบอกว่าไม่สามารถยืนยันรายงานนี้ได้
ไม่เฉพาะที่ราฟาห์ กองทัพอิสราเอลยังส่งรถถังโจมตีย่านที่อยู่อาศัยหลายแห่งในเมืองกาซาซิตี้ ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของฉนวนกาซา เวลาเดียวกันทหารอิสราเอลบุกลึกเข้าไปในจาบาเลีย ใกล้ๆ กาซาซิตี้ ซึ่งเป็นที่ตั้งค่ายผู้ลี้ภัยใหญ่สุด 8 แห่งของกาซา และชาวบ้านรายงานว่า เขตที่พักอาศัยขนาดใหญ่หลายแห่งถูกทำลาย
(ที่มา : รอยเตอร์, เอเอฟพี)