เอเจนซีส์ - คณะบริหารไบเดนเตรียมปรับการจัดประเภทกัญชา ให้ถือเป็นสารเสพติดที่อันตรายน้อยลงระดับเดียวกับยาเคและยาแก้ปวดที่มีโคเดอีน นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่จะนำไปสู่นโยบายที่สอดรับกับความคิดเห็นของประชาชนมากขึ้น โดยโพลเมื่อเร็วๆ นี้พบว่า คนอเมริกัน 88% เห็นควรให้อนุญาตการใช้กัญชาทางการแพทย์และสันทนาการอย่างถูกกฎหมาย
โซชิ ฮีโนฮอสซา โฆษกกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ แถลงเมื่อวันอังคาร (30 เม.ย.) ว่า เมอร์ริก การ์แลนด์ รัฐมนตรียุติธรรมได้ส่งข้อเสนอปรับการจัดประเภทกัญชาเสียใหม่ไปให้ทำเนียบขาวแล้ว
ทั้งนี้ โจ ไบเดน ถือเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกที่ริเริ่มให้ทบทวนเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อปี 2022
เห็นกันว่าประเด็นนี้อาจช่วยให้ไบเดนได้คะแนนเสียงมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากผู้คนวัยหนุ่มสาวสำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีปลายปีนี้ ที่เขาต้องเจอกับโดนัลด์ ทรัมป์ อีกครั้ง
นับจากทศวรรษ 1970 กัญชาถูกจัดเป็นสารเสพติดประเภทที่ 1 เช่นเดียวกับเฮโรอีน ยาอี (ecstasy) และแอลเอสดี ซึ่งไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ทางการแพทย์ รวมทั้งถือว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด
แต่ภายใต้ข้อเสนอใหม่ กัญชาจะจัดเป็นสารเสพติดประเภทที่ 3 เช่นเดียวกับยาเค (ketamine) และยาแก้ปวดที่มีโคเดอีน ซึ่งมีแนวโน้มทำให้เกิดการเสพติดระดับต่ำถึงปานกลาง รวมทั้งบทลงโทษสำหรับความผิดฐานมีไว้ในครอบครองภายใต้กฎหมายของรัฐบาลกลางยังมีรุนแรงน้อยกว่า
แหล่งข่าววงในระบุว่า นี่เป็นขั้นตอนที่จะนำไปสู่กระบวนการจัดประเภทกัญชาเสียใหม่อย่างเป็นทางการต่อไป ทว่า กระบวนการนี้ยังต้องใช้เวลายาวนานในการดำเนินการ รวมทั้งเปิดให้สาธารณชนแสดงความคิดเห็น
กระนั้น มองกันว่าข้อเสนอของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ในการจัดประเภทกัญชาเสียใหม่เช่นนี้ ยังถือเป็นขั้นตอนแรกๆ ในการลดช่องว่างระหว่างกฎหมายกัญชาของรัฐต่างๆ กับกฎหมายของรัฐบาลกลาง โดยปัจจุบันในเกือบๆ 40 รัฐของสหรัฐฯ ถือว่ากัญชาเป็นสารเสพติดที่ถูกต้องตามกฎหมายในบางรูปแบบแล้ว
นอกจากนั้น แม้การจัดประเภทใหม่ไม่ได้หมายความว่า กัญชากลายเป็นของถูกกฎหมาย แต่จะเป็นการเปิดทางเพื่อให้มีการวิจัยและใช้กัญชาทางการแพทย์มากขึ้น บทลงโทษในลักษณะเป็นคดีอาญาเบาลง และทำให้เอกชนกล้าลงทุนในอุตสาหกรรมกัญชาเพิ่มขึ้น
ความเคลื่อนไหวของกระทรวงยุติธรรมครั้งนี้มีขึ้นหลังจากเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว กระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์แนะนำให้จัดประเภทกัญชาใหม่ อันเป็นส่วนหนึ่งของการทบทวนแนวทางตามคำสั่งของไบเดน
ขณะเดียวกัน ผลสำรวจความคิดเห็นที่จัดทำโดย พิว รีเสิร์ช เซ็นเตอร์ และเผยแพร่ออกมาเมื่อเดือนที่แล้วพบว่า คนอเมริกัน 88% เห็นควรอนุญาตให้ใช้กัญชาในทางการแพทย์และสันทนาการอย่างถูกกฎหมาย มีเพียง 11% ที่คัดค้าน
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2012 โคโรลาโดและวอชิงตัน เป็นสองรัฐแรกของสหรัฐฯ ที่อนุญาตการใช้กัญชาเพื่อสันทนาการ
โอเวน เบนเน็ตต์ นักวิเคราะห์ของกลุ่มวาณิชธนกิจ เจฟเฟอรีส์ มองว่า การจัดประเภทกัญชาใหม่จะเพิ่มโอกาสในการทำให้กัญชาถูกกฎหมายโดยสมบูรณ์ทั่วสหรัฐฯ ภายในระยะเวลา 5 ปี
การเปลี่ยนแปลงนี้ยังจะทำให้มีการวิจัยทางการแพทย์ภายใต้สำนักงานอาหารและยาของอเมริกา (เอฟดีเอ) ซึ่งเวลานี้ให้การสนับสนุนการจัดประเภทกัญชาใหม่เพิ่มขึ้น โดยขณะนี้มีการนำกัญชาไปใช้รักษาอาการเจ็บปวด ภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็ง โรคลมชัก และอาการอื่นๆ ซึ่งได้ผลเป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม สมาร์ท แอปโพรชส์ ทู แมรีฮวานา ซึ่งเป็นกลุ่มต่อต้านการอนุญาตการซื้อขายกัญชา ประกาศจะดำเนินการทางกฎหมายหากข้อเสนอของกระทรวงยุติธรรมบรรลุผล และสำทับว่า นักลงทุนในอุตสาหกรรมกัญชาที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์จะเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการเปลี่ยนแปลงนี้
นอกจากนั้น แม้รัฐต่างๆ กำหนดอายุขั้นต่ำในการใช้กัญชาเพื่อสันทนาการอย่างถูกต้องตามกฎหมายไว้ที่ 21 ปี แต่มีความกังวลมากขึ้นว่า การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่อเยาวชน
ทั้งนี้ ศูนย์เพื่อการควบคุมโรคระบุโดยอ้างอิงจากงานวิจัยว่า การใช้กัญชาในวัยรุ่นอาจทำให้ผู้ใช้มีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเรียนไม่จบชั้นมัธยม ส่งผลต่อพัฒนาการของสมอง และอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิต เช่น โรคจิตเภท
อย่างไรก็ดี รายงานการศึกษาที่เผยแพร่เมื่อเดือนมีนาคมระบุว่า ไม่พบหลักฐานที่ชัดเจนว่า การอนุญาตขายกัญชาให้ประชากรวัยผู้ใหญ่ในอเมริกาทำให้มีการใช้สารเสพติดนี้ในหมู่วัยรุ่นเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด
ทางด้านเนชันแนล แคนนาบิส ราวด์เทเบิล ซึ่งเป็นตัวแทนของพวกบริษัทกัญชา ระบุว่า ข้อเสนอของกระทรวงยุติธรรมจะทำให้ธุรกิจกัญชาอย่างถูกต้องตามกฎหมายได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม ลดข้อจำกัดในการขอสินเชื่อจากแบงก์ และรอดพ้นจากการคุกคามของตลาดผิดกฎหมายที่มีต่อตลาดที่ถูกต้องตามกฎหมายและความปลอดภัยของประชาชน