ผู้บัญชาการหน่วยข่าวกรองทหารของอิสราเอล ตัดสินใจลาออกแสดงความรับผิดชอบต่อความล้มเหลว ปล่อยให้พวกฮามาสบุกโจมตีนองเลือดเล่นงานอิสราเอลอย่างไม่คาดคิด จากการเปิดเผยของกองทัพในวันจันทร์ (22 ม.ค.)
พล.ต.อาห์รอน ฮาลิวา วัย 38 ปี เป็นหนึ่งในผู้บัญชาการทหารระดับสูงหลายคนที่ถูกระบุว่าล้มเหลวในการหยั่งรู้คาดการณ์และสกัดเหตุโจมตีครั้งนองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์ของอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมปีก่อน
"แผนกข่าวกรองภายใต้บัญชาการของผมไม่ได้ทำตามหน้าที่ที่เราได้รับความไว้วางใจ ผมแบกวันแห่งความมืดมิดไว้กับผมมาตั้งแต่วันนั้น" เขากล่าวในหนังสือลาออกที่เผยแพร่โดยกองทัพ
เขาจะยังคงอยู่ในตำแหน่งต่อไปจนกว่าจะมีการแต่งตั้งผู้สืบทอด ในขณะที่สื่อมวลชนอิสราเอลและพวกผู้สันทัดกรณีคาดหมายว่าน่าจะมีการลาออกเพิ่มเติม ครั้งที่ยุทธการด้านการทหารหลักๆ ของอิสราเอลในกาซา ปิดฉากลงแล้ว
เหตุโจมตีเลวร้ายเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม สร้างความแปดเปื้อนแก่ชื่อเสียงของกองทัพอิสราเอลและบรรดาหน่วยข่าวกรองทั้งหลาย ซึ่งก่อนหน้านี้เคยถูกมองว่าแทบไม่เคยแพ้พ่ายให้แก่กลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ทั้งหลาย อย่างเช่นฮามาส
ในช่วงเช้ามืดของวันที่ 7 ตุลาคม ตามหลังการโจมตีอย่างหนักหน่วงด้วยห่าจรวด พวกนักรบจากฮามาสและกลุ่มติดอาวุธอื่นๆ หลายพันคน บุกจู่โจมฝ่าแนวกันชนด้านความปลอดภัยรอบๆ กาซา สร้างความประหลาดใจแก่กองทัพอิสราเอลและออกอาละวาดเข่นฆ่าผู้คนไปตามชุมชนต่างๆ ทางใต้ของอิสราเอล
มีชาวอิสราเอลและชาวต่างชาติราว 1,200 คนเสียชีวิตในเหตุโจมตี ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน และราว 250 คนถูกจับไปเป็นตัวประกัน และเวลานี้คนเหล่านั้นยังอยู่ภายใต้การควบคุมตัวราว 133 คน
พล.ท.เฮอร์ซี ฮาเลวี เสนาธิการกองกำลังป้องกันตนเองของอิสราเอล และโรเนน บาร์ บัญชาการหน่วยข่าวกรองภายในประเทศ (Shin Bet) ต่างออกมาแสดงความรับผิดชอบตามหลังเหตุโจมตี แต่บอกว่าจะอยู่ในตำแหน่งระหว่างที่สงครามในกาซายังคงดำเนินต่อไป
สวนทางกับนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ซึ่งจนถึงตอนนี้ยังไม่ยอมรับความรับผิดชอบใดๆ ในเหตุโจมตีเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม แม้ผลสำรวจความคิดเห็นต่างๆ พบว่าชาวอิสราเอลส่วนใหญ่กล่าวโทษเขาต่อความล้มเหวไม่ดำเนินการอย่างเพียงพอที่จะขัดขวางหรือป้องกันไม่ให้เรื่องนี้เกิดขึ้น
ในความเคลื่อนไหวตอบโต้เหตุโจมตี อิสราเอลเปิดปฏิบัติการรุกรานฉนวนกาซา ซึ่งจนถึงตอนนี้สังหารชาวปาเลสไตน์ไปแล้วมากกว่า 34,000 คน ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน และทำให้ฉนวนที่มีประชากรหนาแน่นแห่งนี้เหลือแต่ซากปรักหักพัง
(ที่มา : รอยเตอร์)