หน่วยงานป้องกันภัยพลเรือนในกาซาเผยพบศพหลายสิบศพถูกฝังอยู่ในโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์นัสเซอร์ เมืองข่านยูนิส ที่กองกำลังอิสราเอลบุกค้นและเพิ่งถอนออกไปเมื่อต้นเดือนนี้ ด้านเนทันยาฮูเมินเสียงคัดค้านจากนานาชาติ ประกาศเพิ่มความกดดันทางทหารต่อฮามาส ขณะเดียวกัน ผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองยิวประกาศลาออกแล้วในวันจันทร์ (22 เม.ย.) ฐานผิดพลาดปล่อยให้ฮามาสบุกโจมตีใหญ่เข้าดินแดนอิสราเอลเมื่อกว่า 6 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามกาซาที่ยืดเยื้อมาจนถึงวันนี้
มาหมูด บัสซาล โฆษกหน่วยงานป้องกันภัยพลเรือนของกาซาเปิดเผยเมื่อวันอาทิตย์ (21) ว่า พบร่างผู้เสียชีวิต 50 ศพในหลุมฝังศพขนาดใหญ่ในสนามของโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์นัสเซอร์ ในเมืองข่านยูนิส ซึ่งเป็นเมืองหลักของกาซาตอนใต้ นับจากที่เริ่มขุดในวันเสาร์ (20) และขณะนี้เจ้าหน้าที่ยังทำการขุดค้นต่อ จึงยังไม่สามารถสรุปจำนวนศพที่แน่นอนได้
เขาสำทับว่า บางศพไม่ได้สวมเสื้อผ้า บ่งชี้ว่า เหยื่ออาจถูกทรมานหรือล่วงละเมิด
ด้านกองทัพอิสราเอลระบุว่า กำลังตรวจสอบรายงานนี้
ทั้งนี้ อิสราเอลถอนทหารออกจากข่านยูนิสเมื่อวันที่ 7 ที่ผ่านมา หลังอ้างว่าได้เข้า “ปฏิบัติการที่แม่นยำและจำกัด” เพิ่อปราบปรามกำจัด “ผู้ก่อการร้าย” ฮามาส ในศูนย์การแพทย์นัสเซอร์ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในกาซา
ไม่เพียงที่นี่ ยังมีโรงพยาบาลอีกหลายแห่งในกาซาถูกกองทัพอิสราเอลยกกำลังเข้าโจมตีกวาดล้างภายใต้ข้ออ้างว่า กลุ่มฮามาสใช้สถานที่เหล่านั้นเป็นศูนย์บัญชาการและคุมขังตัวประกันอิสราเอลที่จับมาตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม ทว่า ฮามาสปฏิเสธข้อกล่าวหานี้
ในอีกด้านหนึ่ง นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล ออกคำแถลงก่อนวันหยุดเทศกาลปัสกาของยิวว่า ในอีกไม่กี่วันนี้อิสราเอลจะเพิ่มความกดดันทั้งทางทหารและการเมืองต่อฮามาส เนื่องจากเป็นวิธีเดียวในการช่วยตัวประกัน
ทางการอิสราเอลประเมินว่า ยังมีตัวประกันเหลืออยู่ในกาซา 129 คน ซึ่งรวมถึง 34 คนที่กองทัพระบุว่า เสียชีวิตแล้ว
นอกจากนั้น กองทัพอิสราเอลยังเชื่อว่า ตัวประกันอย่างน้อยบางส่วนถูกคุมขังอยู่ในเมืองราฟาห์ ซึ่งอยู่ทางใต้สุดของกาซาที่พลเมืองกาซาส่วนใหญ่จากเกือบทั้งหมด 2.4 ล้านคนใช้เป็นที่พักพิงหลบภัย
พล.ร.ต.แดเนียล ฮาการี โฆษกกองทัพอิสราเอลออกคำแถลงที่ถ่ายทอดทางทีวีว่า ประธานเสนาธิการทหารได้อนุมัติสงครามในขั้นตอนต่อไปแล้ว แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ
ต้นสัปดาห์ที่แล้ว กลุ่ม 7 ประเทศอุตสาหกรรมของโลก (จี7) ออกคำแถลงคัดค้านปฏิบัติการทางทหารเต็มรูปแบบในราฟาห์ เนื่องจากกลัวว่าจะเกิดหายนะต่อพลเรือน อย่างไรก็ดี จากการที่ชาติจี7 ซึ่งก็คือพวกประเทศตะวันตกที่ร่ำรวย กลับยังคงให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่อิสราเอลต่อไปอีก ทำให้ความเคลื่อนไหวของกลุ่มนี้เกี่ยวกับตะวันออกกลาง ถูกตั้งคำถามและมีเครดิตน้อยลงไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะในหมู่ประเทศกำลังพัฒนา
ปัจจุบัน กองทัพอิสราเอลโจมตีทางอากาศต่อราฟาห์อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนั้น เนทันยาฮูยังประกาศเมื่อวันอาทิตย์ว่า จะยืนหยัดต่อสู้กับการแซงก์ชันกองทัพอิสราเอลจากข้อหาละเมิดสิทธิมนุษยชน หลังจากเว็บไซต์ข่าวแอกซิออสของอเมริกา รายงานก่อนหน้านั้นหนึ่งวันว่า วอชิงตันกำลังวางแผนแซงก์ชันกองพันเน็ตซาห์ เยฮูดาของอิสราเอลที่ปฏิบัติการในเขตยึดครองเวสต์แบงก์
ทั้งนี้ เมื่อวันศุกร์ (19) อเมริกายังประกาศมาตรการแซงก์ชันซึ่งเกี่ยวโยงกับผู้ตั้งถิ่นฐานชาวอิสราเอลในเขตเวสต์แบงก์ ซึ่งเป็นสัญญาณล่าสุดว่า อเมริกาไม่พอใจมากขึ้นกับนโยบายของเนทันยาฮู
อย่างไรก็ดี ในวันต่อมา (20) สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ กลับอนุมัติความช่วยเหลือทางทหารก้อนใหม่มูลค่า 13,000 ล้านดอลลาร์ให้แก่อิสราเอล แม้มีเสียงประณามจากทั่วโลกเกี่ยวกับวิกฤตมนุษยธรรมร้ายแรงในกาซา
ที่เยรูซาเลมเมื่อวันจันทร์ (22) กองทัพอิสราเอลแถลงว่า พล.ต.อาฮารอน ฮาลิวา ได้ลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองทหารแล้ว เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อความล้มเหลวที่ทำให้นักรบฮามาสนับพันฝ่าด่านการรักษาความปลอดภัยสุดไฮเทคทั่วกาซาบุกข้ามแดนเข้าไปโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม สังหารชาวอิสราเอลและต่างชาติ 1,200 คน รวมทั้งจับตัวประกัน 250 คนกลับไปขังที่กาซา
การโจมตีดังกล่าวทำลายชื่อเสียงของกองทัพและหน่วยข่าวกรองอิสราเอลยับเยิน
นอกจากฮาลิวาแล้ว พล.ท.เฮอร์ซี ฮาเลวี ผู้บัญชาการทหารอิสราเอล และโรเนน บาร์ ผู้อำนวยการชินเบ็ต ซึ่งเป็นหน่วยข่าวกรองในประเทศ ต่างประกาศรับผิดชอบหลังเหตุโจมตีของฮามาส แต่ยังคงอยู่ในตำแหน่งเนื่องจากสงครามในกาซายังไม่จบ
ตรงข้ามกับเนทันยาฮูที่ยังไม่เคยแสดงความรับผิดชอบต่อความล้มเหลวนี้ แม้ผลสำรวจความคิดเห็นชี้ว่า คนอิสราเอลส่วนใหญ่โทษว่า ความล้มเหลวในการปกป้องหรือป้องกันการโจมตีเป็นความผิดของนายกรัฐมนตรีผู้นี้ก็ตาม
(ที่มา : เอเอฟพี, รอยเตอร์)