xs
xsm
sm
md
lg

ไม่ว่า ‘ไบเดน’ หรือ ‘ทรัมป์’ นโยบายต่างประเทศสหรัฐฯก็เป็นอันตรายต่อโลกอยู่ดี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ฌอน นารีน


นโยบายการต่างประเทศของสหรัฐฯจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากมายหรอก ไม่ว่า โจ ไบเดน หรือ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้ชนะในการเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกันต้นเดือนพฤศจิกายนนี้
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)

Trump or Biden, US foreign policy endangers the world
By SHAUN NARINE
23/03/2024

สหรัฐฯกำลังปลดปล่อยพลังแห่งความรุนแรงและความไร้เสถียรภาพออกมาอย่างมากมายมหาศาลบนเวทีระดับโลก นี่คือคุณลักษณะประการหนึ่งของนโยบายการต่างประเทศอเมริกัน ไม่ว่าใครจะขึ้นเป็นประธานาธิบดีก็ตามที

ผู้สังเกตการณ์การเมืองอเมริกันจำนวนมากทีเดียว มีความรู้สึกสยดสยองอย่างเป็นที่เข้าใจกันได้ เมื่อมองเห็นกันอยู่ว่ามีลู่ทางความเป็นไปได้ที่ โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังจะได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯอีกครั้งหนึ่งในเดือนพฤศจิกายนนี้

อเมริกา [1] เวลานี้กำลังปรากฏสัญญาณแสดงถึงความเป็นระบอบประชาธิปไตยที่ล้มเหลว [2] เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ [3] หรือการเมืองสหรัฐฯ [4] ต่างส่ออาการไร้สมรรถภาพอยู่บ่อยครั้ง [5] รวมทั้งยังติดเชื้อโรคทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างดุเดือดรุนแรง [6]

ชัยชนะของทรัมป์จะยิ่งยกระดับความหวาดกลัวให้สูงขึ้นอีก ว่าสหรัฐฯกำลังตกต่ำเสื่อมโทรมลงสู่ระดับใหม่ที่จะจมถลำลงสู่การเป็นระบอบเผด็จการฟาสซิสต์ (fascist authoritarianism) [7] อย่างไรก็ดี สมัยที่สองแห่งการเป็นประธานาธิบดีของทรัมป์ ไม่จำเป็นว่าจะมีการใช้นโยบายการต่างประเทศซึ่งสร้างความเสียหายอย่างเลวร้าย ยิ่งไปกว่าสิ่งที่เป็นความเลวร้ายตามปกติอยู่แล้วสำหรับสหรัฐฯ

นับตั้งแต่เริ่มต้นคริสต์ศตวรรษที่ 21 เป็นต้นมา สหรัฐฯได้ปลดปล่อยพลังแห่งความรุนแรงและความไร้เสถียรภาพออกมาอย่างมากมายมหาศาลบนเวทีระดับโลก นี่คือคุณลักษณะประการหนึ่งของนโยบายการต่างประเทศอเมริกัน ไม่ว่าใครจะขึ้นเป็นประธานาธิบดีก็ตามที

ในปี 2001 เพื่อตอบโต้การโจมตีของพวกผู้ก่อการร้ายในเหตุการณ์วันที่ 11 เดือนกันยายน (หรือที่นิยมเขียนกันว่า 9/11) สหรัฐฯได้เปิดฉาก “สงครามต่อสู้การก่อการร้าย” ของตน พวกเขาเข้ารุกรานและยึดครองอัฟกานิสถาน [8] จากนั้นก็เข้ารุกรานและยึดครองอิรักอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมาย

การกระทำเหล่านี้เป็นเหตุให้มีผู้คนเสียชีวิตไป 4.6 ล้านคนตลอดช่วงเวลา 20 ปีถัดจากนั้น ขณะที่โยกคลอนเสถียรภาพของภูมิภาคตะวันออกกลาง และก่อให้เกิดการอพยพลี้ภัยกันอย่างมากมายมหาศาล [9]

ในปี 2007-2008 ระบบเศรษฐกิจสหรัฐฯที่มีการจัดระเบียบกำกับตรวจสอบกันน้อยเกินไป ได้เป็นต้นเหตุทำให้เกิดวิกฤตในภาคการเงินไปทั่วโลก [10] โดยที่ผลต่อเนื่องซึ่งเกี่ยวข้องทั้งในทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ [11] ยังคงแสดงฤทธิ์เดชอยู่จนถึงเวลานี้ [12]

ในปี 2011 สหรัฐฯ [13] และพวกชาติพันธมิตรนาโต้ของพวกเขา [14] ได้เข้าไปแทรกแซงในลิเบีย ทำให้รัฐแห่งนั้นล่มสลาย และทำให้ภูมิภาคแอฟริกาเหนืออยู่ในภาวะไร้เสถียรภาพ [15] ตลอดจนทำให้เกิดมีผู้ลี้ภัยจำนวนเพิ่มมากขึ้นอีก

สหรัฐฯนั้น [16] พยายามที่จะกระชับอำนาจแห่งฐานะการเป็นผู้ครอบงำเหนือยุโรปของตนให้มั่นคงขึ้นไปอีกด้วยการขยายองค์การนาโต้ [17] ถึงแม้รัสเซียส่งเสียงเตือนคัดค้านเรื่องนี้มาเป็นเวลาหลายทศวรรษแล้ว [18] ยุทธศาสตร์นี้เองที่แสดงบทบาทอยู่ในสงครามรัสเซีย-ยูเครนเมื่อปี 2014 และอยู่ในการที่รัสเซียเปิดการรุกรานยูเครนอย่างเต็มพิกัดในปี 2022

คณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน กำลังถูกกล่าวโทษทั้งในเรื่องการช่วยเหลือยั่วยุให้เกิดสงครามนี้ขึ้นมา [19] ด้วยความหวังที่จะทำให้รัสเซียอ่อนแอลงอย่างเป็นถาวร [20] และทั้งในเรื่องการต่อต้านคัดค้านการเจรจาเพื่อไปสู่สันติภาพ [21]

มาถึงวันนี้ ยูเครนดูเหมือนกับกำลังยืนอยู่บนปากเหวแห่งความพ่ายแพ้ปราชัย [22] และดินแดนของพวกเขาก็ทำท่าจะถูกตัดเฉือน ขณะที่รัฐสภาสหรัฐฯโดยเฉพาะสภาผู้แทนราษฎร ตั้งท่าเหมือนกับพร้อมแล้วที่จะทอดทิ้งยูเครน [23]

เติมเชื้อโหมความตึงเครียดในทั่วโลก

สหรัฐฯยั่วยุทำให้เกิดความตึงเครียดกับจีน ด้วยการทรยศไม่ยอมปฏิบัติตามคำมั่นข้อผูกพันของฝ่ายอเมริกันภายใต้รัฐบัญญัติความสัมพันธ์กับไต้หวันปี 1979 (Taiwan Relations Act (1979) ซึ่งกำหนดให้ละเว้นจากการมีความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับไต้หวัน ตลอดจนการจับมือเป็น “พันธมิตร” กับไต้หวัน [24] สหรัฐฯยังถูกกล่าวหา [25] ว่ากำลังกระตุ้นส่งเสริมการสู้รบขัดแย้งกันในทะเลจีนใต้ [26] ขณะที่พวกเขาก็กำลังโอบล้อมประเทศจีนอยู่ด้วยฐานทัพทางทหารจำนวนเป็นร้อยๆ แห่ง [27]

การที่อิสราเอลดำเนินการโจมตีดินแดนฉนวนกาซาอยู่ในเวลานี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นผลจากการสั่งสมของนโยบายการต่างประเทศซึ่งเดินไปในทิศทางที่ผิดพลาดของสหรัฐฯ การที่อเมริกันให้ความสนับสนุนอิสราเอลอย่างชนิดไม่มีเงื่อนไขใดๆ ช่วยทำให้ประเทศนี้เกิดความตกต่ำเสื่อมทราม [28] ลงไปสู่สิ่งที่พวกองค์การด้านสิทธิมนุษยชนเรียกว่าการแบ่งแยกชนชาติ (apartheid) [29] ขณะที่รัฐอิสราเอลได้ก่อสร้างนิคมชาวยิวแห่งต่างๆ ขึ้นมาอย่างผิดกฎหมายบนดินแดนชาวปาเลสไตน์ และใช้ความรุนแรงกดขี่ปราบปรามสิทธิในการกำหนดการปกครองด้วยตนเองของชาวปาเลสไตน์

ขณะที่อิสราเอลถูกกล่าวหาว่ากำลังใช้ความอดยากเป็นอาวุธอย่างหนึ่งในการเล่นงานชาวปาเลสไตน์ 2.3 ล้านคนในดินแดนกาซา [30] โดยที่ครึ่งหนึ่งของพวกเขาเหล่านี้คือเด็กๆ สหรัฐฯก็กลายเป็นผู้ร่วมสมคบกระทำความผิดอย่างเต็มเหนี่ยวในการก่ออาชญากรรมสงครามต่างๆ ของอิสราเอล [31] และในการอำนวยความสะดวกให้แก่การสู้รบขัดแย้ง [32] ซึ่งกำลังโหมกระพือลุกลามออกไปเรื่อยๆ ในภูมิภาคหนึ่งซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดของโลก

อิสราเอลนั้นแทบไม่มีหรือกระทั่งไม่มีคุณค่าทางยุทธศาสตร์ใดๆ เลย [33] สำหรับสหรัฐฯ [34] พวกนักการเมืองชาวอเมริกันโต้เถียงยืนกรานว่าการที่พวกเขาให้ความสนับสนุนอย่างเต็มพิกัดแก่อิสราเอล เป็นการสะท้อนถึงความผูกพันในทางศีลธรรมและในทางวัฒนธรรม [35] แต่แท้จริงแล้ว แรงขับดันหลักๆ [36] เลย ก็คือการเมืองภายในสหรัฐฯ [37]

สิ่งนี้บ่งชี้ให้เห็นว่าเพื่อเหตุผลทางการเมืองภายในประเทศ [38] สหรัฐฯก็ก่อให้เกิดอันตรายแก่เสถียรภาพในระดับโลก และสนับสนุนการกระทำอันโหดร้ายป่าเถื่อน

ไบเดนก็พอๆ กันกับทรัมป์นั่นแหละในเรื่องนโยบายการต่างประเทศ

คณะบริหารไบเดนได้สืบต่อดำเนินการตามความริเริ่มด้านนโยบายการต่างประเทศจำนวนมากซึ่งพวกเขาได้รับตกทอดจากทรัมป์

ไบเดนใช้ความพยายามเพิ่มมากขึ้นด้วยซ้ำในสงครามต่อต้านจีนทั้งทางเศรษฐกิจ, [39] เทคโนโลยี, และการเมือง [40] ซึ่งเริ่มต้นขึ้นโดยทรัมป์ เขาเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ลัทธิกีดกันการค้า [41] ของทรัมป์ และปล่อยทิ้งให้องค์การการค้าโลก (World Trade Organization) อยู่ในสภาพโซซัดโซเซ [42]

เขาต่อยอดจาก “ข้อตกลงอับราฮัม” (Abraham Accords) [43] ของทรัมป์ ซึ่งเป็นแผนการริเริ่มที่มุ่งโน้มน้าวพวกรัฐอาหรับให้เห็นดีเห็นงามกับการปรับปรุงความสัมพันธ์ที่พวกเขามีอยู่กับอิสราเอลให้กลายเป็นความสัมพันธ์ฉันปกติ โดยปราศจากการเสนอหนทางเพื่อแก้ไขปัญหาปาเลสไตน์ เห็นกันว่าความพยายามของคณะบริหารไบเดนที่จะผลักดันให้ซาอุดีอาระเบียกับอิสราเอลปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างกันให้เป็นปกตินั่นเอง เป็นแรงจูงใจส่วนหนึ่งที่ทำให้กลุ่มฮามาสตัดสินใจโจมตีอิสราเอลในวันที่ 7 ตุลาคม 2023 [44]

ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ ไม่มีอะไรเลยที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดความมั่นอกมั่นใจใน “ความเป็นผู้นำระดับโลก” ของสหรัฐฯ ไบเดนและทรัมป์นั้นต่างมีเป้าหมายร่วมอย่างเดียวกัน ซึ่งก็คือ ฐานะการเป็นผู้ครอบงำเหนือทั่วโลกอย่างถาวรของอเมริกา [45] พวกเขาเพียงแค่แตกต่างกันในเรื่องวิธีการที่จะบรรลุสิ่งนี้เท่านั้นเอง

ทรัมป์เชื่อว่าสหรัฐฯ [46] สามารถใช้พลานุภาพทางเศรษฐกิจและทางทหาร [47] เพื่อบังคับให้โลก [48] ยินยอมทำตามความปรารถนาของอเมริกันอย่างเชื่องเชื่อ โดยไม่ต้องสนใจเรื่องต้นทุนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นกับทุกๆ คน [49] และโดยที่สหรัฐฯจักไม่ต้องเข้าไปแบกรับพันธะผูกพันกับคนอื่นๆ ใดๆ ทั้งสิ้น

เมื่อตอนที่อยู่ในตำแหน่ง ทรัมป์พยายามวาดภาพเสนอตัวเองว่าเป็น “ผู้ต่อต้านสงคราม” [50] ทว่าความโน้มเอียงของเขาที่จะใช้การข่มขู่คุกคามและความรุนแรง กลับเป็นเครื่องสะท้อนที่ชัดเจนถึงพฤติกรรมที่กลายเป็นมาตรฐานไปแล้วของอเมริกัน

สำหรับไบเดน เขาดำเนินตามแนวทางที่มีลักษณะยุทธศาสตร์ทางการทูต [51] มากกว่า เป็นแนวทางซึ่งพยายามควบคุมสถาบันระหว่างประเทศแห่งต่างๆ รวมทั้งโน้มน้าวพวกรัฐสำคัญๆ ให้เชื่อว่าผลประโยชน์ต่างๆ ของพวกเขาจักได้รับการรักษาปกป้องเอาไว้อย่างดีที่สุดก็ด้วยการยอมรับและด้วยการร่วมมือกับการเข้าครอบงำของอเมริกัน อย่างไรก็ดี ไบเดนก็พรักพร้อมเช่นกันที่จะหันไปใช้การบีบบังคับด้วยอำนาจทางเศรษฐกิจและการทหาร [52]

ถูกบังคับให้เผชิญหน้ากับความเป็นจริง?

เรื่องดีๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นจากการขึ้นเป็นประธานาธิบดีของทรัมป์ก็คือว่า มันอาจจะเป็นการบีบบังคับให้พวกพันธมิตรของสหรัฐฯต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริง

พวกพันธมิตรของอเมริกาโน้มน้าวพวกเขาเองให้เกิดความเชื่อขึ้นมาว่า สมัยแห่งการเป็นประธานาธิบดีของไบเดนคือการหวนกลับคืนเข้าสู่ภาวะปกติ [53] ทว่าพวกเขาก็ยังคงต้องยอมรับและยังคงต้องให้การสนับสนุนการใช้ความรุนแรงในทั่วโลกของอเมริกา พวกเขายังกำลังเมินเฉยละเลยอย่างดื้อรั้นต่อความเสื่อมทรามตกต่ำทางการเมืองของอเมริกา ซึ่งไม่สามารถปกปิดอำพรางเอาไว้ด้วยการที่ไบเดนสร้างความพ่ายแพ้ให้แก่ทรัมป์ในปี 2020

ทรัมป์คืออาการหนึ่งของความไร้สมรรถภาพทางการเมืองของอเมริกา ไม่ใช่เป็นสาเหตุหนึ่งของความไร้สมรรถภาพดังกล่าว [54] กระทั่งถ้าหากเขาประสบความปราชัยในการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายนนี้ พรรครีพับลิกันก็จะยังคงตกอยู่ในภาวะไถลตัวลงไปสู่ลัทธิฟาสซิสต์ของพวกเขาอยู่นั่นเอง และการเมืองอเมริกันจะยังคงเต็มไปด้วยพิษร้าย

การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์เป็นสมัยที่สอง อาจจะกลายเป็นสิ่งที่โน้มน้าวทำให้พวกพันธมิตรของอเมริกันเกิดความแน่ใจว่า สหรัฐอเมริกานั้นเชื่อถือไม่ได้และขาดความคงเส้นคงวา มันอาจจะกลายเป็นการบ่อนทำลายการจับมือเป็นพันธมิตรที่ประกอบด้วยฝ่ายตะวันตกเป็นส่วนใหญ่ [55] ซึ่งได้ครอบงำโลกและได้สร้างความเสียหายให้แก่โลกอย่างล้ำลึกถึงขนาดที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ [56]

ถ้าหากทรัมป์กลับมา พวกที่เป็นพันธมิตรของสหรัฐฯมาแต่ไหนแต่ไรอาจจะเกิดความตระหนักรับรู้ขึ้นมาว่า ผลประโยชน์ของพวกเขานั้นวางอยู่บนการพิจารณาทบทวนความสัมพันธ์ที่พวกเขามีอยู่กับสหรัฐฯเสียใหม่

สำหรับชาติเพื่อนบ้านของอเมริกาอย่างแคนาดาและเม็กซิโก การเป็นประธานาธิบดีของทรัมป์คือเรื่องที่มีแต่ข่าวร้าย พวกเขาจำเป็นจะต้องหาวิธีการอะไรบางอย่างเพื่อปกป้องคุ้มครองตัวเองจากลัทธิฟาสซิสต์สหรัฐฯที่กำลังคืบคลานตรงแน่วเข้ามาเรื่อยๆ [57] สำหรับส่วนอื่นๆ ของโลก การขึ้นมาอีกสมัยของทรัมป์อาจจะเป็นการป่าวประกาศให้ทราบถึงการเริ่มต้นของระเบียบโลกแบบมีหลายขั้วอำนาจอันคึกคักมีชีวิตชีวา

ฌอน นารีน เป็นศาสตราจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและรัฐศาสตร์ อยู่ที่มหาวิทยาลัยเซนต์โธมัส (แคนาดา) (St. Thomas University (Canada)

(ข้อเขียนนี้มาจากเว็บไซต์ เดอะ คอนเวอร์เซชั่น https://theconversation.com/ โดยสามารถติดตามอ่านข้อเขียนดั้งเดิมชิ้นนี้ได้ https://theconversation.com/whether-its-trump-or-biden-as-president-u-s-foreign-policy-endangers-the-world-225524

เชิงอรรถ

[1]https://www.aljazeera.com/opinions/2022/11/9/has-us-democracy-failed-for-good
[2]https://freedomhouse.org/report/freedom-world/2018/democracy-crisis
[3] https://www.citizen.org/news/twelve-years-since-citizens-united-big-money-corruption-keeps-getting-worse/
[4]https://www.aljazeera.com/opinions/2023/9/28/corruption-is-as-american-as-apple-pie
[5]https://www.nytimes.com/2023/10/01/us/politics/government-dysfunction-normal.html
[6]https://foreignpolicy.com/2021/01/28/report-transparency-international-corruption-worst-decade-united-states/
[7]https://www.nytimes.com/2023/11/20/us/politics/trump-rhetoric-fascism.html
[8] https://theconversation.com/by-not-investigating-the-u-s-for-war-crimes-the-international-criminal-court-shows-colonialism-still-thrives-in-international-law-115269
[9] https://watson.brown.edu/costsofwar/
[10]https://www.economicsobservatory.com/why-did-the-global-financial-crisis-of-2007-09-happen
[11]https://www.imf.org/en/Blogs/Articles/2018/10/03/blog-lasting-effects-the-global-economic-recovery-10-years-after-the-crisis
[12] https://hbr.org/2018/09/the-social-and-political-costs-of-the-financial-crisis-10-years-later
[13]https://www.globalvillagespace.com/consequences-of-us-nato-military-intervention-in-libya/
[14]https://www.cato.org/commentary/how-nato-pushed-us-libya-fiasco
[15]https://responsiblestatecraft.org/libya-floods-nato/
[16]https://www.nytimes.com/2023/07/11/opinion/nato-summit-vilnius-europe.html
[17]https://harpers.org/archive/2023/06/why-are-we-in-ukraine/
[18]https://www.theguardian.com/commentisfree/2022/feb/28/nato-expansion-war-russia-ukraine
[19]https://blogs.lse.ac.uk/europpblog/2022/03/30/why-the-us-and-nato-have-long-wanted-russia-to-attack-ukraine/
[20]https://www.washingtonpost.com/world/2022/04/25/russia-weakened-lloyd-austin-ukraine-visit/
[21]https://www.theamericanconservative.com/why-peace-talks-but-no-peace/
[22] https://time.com/6695261/ukraine-forever-war-danger/
[23]https://www.theatlantic.com/ideas/archive/2024/01/us-congress-support-ukraine-war/677256/
[24]https://asiatimes.com/2022/11/harvard-guru-gives-biden-a-d-for-china-policy/
[25]https://asiatimes.com/2022/07/proposals-for-us-action-in-s-china-sea-should-worry-everyone/
[26]https://eastasiaforum.org/2018/06/20/us-pundits-and-politicians-pushing-for-war-in-the-south-china-sea/
[27]https://www.democracynow.org/2023/2/14/david_vine_us_bases_china_philippines
[28] https://www.amnesty.ca/human-rights-news/israels-apartheid-against-palestinians-a-cruel-system-of-domination-and-a-crime-against-humanity/?psafe_param=1&gad_source=1&gclid=CjwKCAjw7-SvBhB6EiwAwYdCAVW84WyFFiEvbjzsIp5pPDN5CDlYOCBM52mCC6X6HGC6u52iuTDyyxoCM7MQAvD_BwE
[29]https://www.hrw.org/report/2021/04/27/threshold-crossed/israeli-authorities-and-crimes-apartheid-and-persecution
[30] https://www.bbc.com/news/world-middle-east-68550937
[31] https://ccrjustice.org/home/press-center/ccr-news/building-case-us-complicity
[32]https://www.aa.com.tr/en/africa/south-african-lawyers-preparing-lawsuit-against-us-uk-for-complicity-in-israels-war-crimes-in-gaza/3109201
[33] https://www.csis.org/analysis/israel-strategic-liability
[34]https://www.middleeastmonitor.com/20230804-israel-no-longer-serves-us-interest-says-ex-senior-white-house-official/
[35]https://doi.org/10.3167/isf.2007.220205
[36] https://www.al-monitor.com/originals/2023/11/us-ignores-israeli-war-crimes-domestic-politics-ex-official
[37]https://www.nytimes.com/2024/03/13/us/politics/aipac-israel-gaza-democrats-republicans.html
[38]https://www.vox.com/2014/7/24/5929705/us-israel-friends
[39]https://www.forbes.com/sites/miltonezrati/2022/12/25/biden-escalates-the-economic-war-with-china/?sh=1f1caa1412f3
[40]https://www.scmp.com/news/china/diplomacy/article/3253917/no-end-us-trade-war-china-biden-administration-pledges-policy-document
[41] https://www.cato.org/blog/biden-administration-continues-be-wrong-about-wto
[42]https://www.politico.com/news/2024/03/08/wto-flops-usa-shrugs-00145691
[43]https://www.npr.org/2022/07/09/1110109088/biden-is-building-on-the-abraham-accords-part-of-trumps-legacy-in-the-middle-eas
[44]https://www.aljazeera.com/features/2023/10/11/analysis-why-did-hamas-attack-now-and-what-is-next
[45]https://www.theamericanconservative.com/americas-plot-for-world-domination/
[46]https://www.brookings.edu/articles/deconstructing-trumps-foreign-policy/
[47]https://www.aljazeera.com/news/2021/1/20/key-moments-in-trumps-foreign-policy
[48]https://ecfr.eu/article/commentary_2020_the_year_of_economic_coercion_under_trump/
[49]https://www.washingtonpost.com/politics/trumps-strong-arm-foreign-policy-tactics-create-tensions-with-both-us-friends-and-foes/2020/01/18/ddb76364-3991-11ea-bb7b-265f4554af6d_story.html
[50]https://responsiblestatecraft.org/2021/01/20/trump-the-anti-war-president-was-always-a-myth/
[51] https://jacobin.com/2022/10/biden-national-security-strategy-us-hegemony
[52] https://www.newsweek.com/biden-warns-us-military-may-get-pulled-direct-conflict-russia-1856613
[53] https://www.policymagazine.ca/the-biden-doctrine-our-long-international-nightmare-is-over/
[54]https://www.institutmontaigne.org/en/expressions/trump-symptom-diseased-american-democracy
[55]https://www.npr.org/2024/02/18/1232263785/generations-after-its-heyday-isolationism-is-alive-and-kicking-up-controversy
[56]https://www.yanisvaroufakis.eu/2024/03/14/how-europe-and-australia-can-end-our-slide-into-irrelevance-servility-national-press-club-of-australia-speech-13-march-2024/
[57]https://www.cbc.ca/news/politics/joly-us-authoritarian-game-plan-1.6939369#:%7E:text=Politics-,Canada%20mulling%20'game%20plan'%20if%20U.S.%20takes%20far%2Dright,after%20next%20year's%20presidential%20elections.
กำลังโหลดความคิดเห็น