รัฐบาลสหราชอาณาจักรสรุปแล้วว่า พวกเขายังสามารถเดินหน้าส่งมอบอาวุธแก่อิสราเอล ตามการเปิดเผยของ เดวิด คาเมรอน รัฐมนตรีต่างประเทศในวันอังคาร (9 เม.ย.) ปฏิเสธแรงกดดันจากทั่วสารทิศที่ต้องการให้ระงับการส่งออกอาวุธ ท่ามกลางคำกล่าวหามีการละเมิดมนุษยธรรมในฉนวนกาซา
"ตามกฎหมายอิราเอลและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และตามข้อกำหนดของระบบควบคุมการส่งออกอาวุธของสหราชอาณาจักร เวลานี้ผมได้ทบทวนคำแนะนำล่าสุดเกี่ยวกับสถานการณ์ในกาซาและแนวทางปฏิบัติของอิสราเอลในยุทธการทางทหารของพวกเขา และจากการประเมินล่าสุดนี้เราจะคงไว้ซึ่งจุดเดิมของเรา ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในใบอนุญาตการส่งออก" เขากล่าว
"ผมขอพูดอย่างชัดเจนในเรื่องนี้ แม้เรายังคงมีความกังวลใหญ่หลวงต่อประเด็นการเข้าถึงด้านมนุษยธรรมในกาซา" เขากล่าวระหว่างแถลงข่าวร่วมกับแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ
จนถึงตอนนี้ สหรัฐฯ ซึ่งผู้จัดหาอาวุธป้อนแก่อิสราเอลรายใหญ่ที่สุดก็ปฏิเสธระงับการส่งมอบอาวุธเช่นกัน แม้ส่งเสียงแสดงความผิดหวังมากขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับแนวทางในการทำสงครามของนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู
ชาวสหราชอาณาจักร 3 รายและพลเมือง 2 สัญชาติ อเมริกา-แคนาดารายหนึ่ง เป็นหนึ่งใน 7 เจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ของ World Central Kitchen ที่เสียชีวิตในปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลเมื่อปีที่แล้ว โดยที่กองทัพอิสราเอลอ้างว่ามันเป็นอุบัติเหตุ
ในจดหมายฉบับหนึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ ที่มีทนายความสหราชอาณาจักรกว่า 600 คน ร่วมลงชื่อ ในนั้นรวมถึงบรรดาอดีตผู้พิพากษาศาลสูง ระบุว่า สหราชอาณาจักรเสี่ยงละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศด้วยการส่งออกอาวุธไปยังอิสราเอล
กฎเกณฑ์การออกใบอนุญาตทางยุทธศาสตร์ของสหราชอาณาจักร เน้นว่าไม่ควรอนุญาตให้มีการส่งออกอาวุธครั้งที่มี "ความเสี่ยงอย่างชัดเจน" ว่ายุทโธปกรณ์เหล่านั้นอาจถูกใช้ในปฏิบัติการต่างๆ ที่ละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
นับตั้งแต่ปี 2015 ลอนดอนอนุมัติขายอาวุธให้แก่อิสราเอลไปแล้วกว่า 487 ล้านปอนด์ (614 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในสิ่งที่เรียกร้องใบอนุญาตให้ออกให้ครั้งเดียว
เยอรมนี อีกหนึ่งผู้ส่งออกอาวุธรายสำคัญป้อนแก่อิสราเอล กำลังเผชิญกับคดีหนึ่งในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งนิการากัว กล่าวหาว่าเบอร์ลินละเมิดอนุสัญญาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ปี 1948 ที่จัดทำขึ้นตามหลังเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวนิว
ทั้งนี้ เยอรมนีระบุว่าตรรกะของนิการากัวบิดเบี้ยวโดยสิ้นเชิง และเน้นย้ำการสนับสนุนอิสราเอลถูกวางอยู่ในแก่นกลางนโยบายการต่างประเทศของเบอร์ลิน
(ที่มา : เอเอฟพี)