พวกผู้เชี่ยวชาญออกโรงเตือนไปยังบรรดาชาติตะวันตก เกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการถูกดำเนินคดีในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ไอซีเจ) ตามข้อกล่าวหาสมคบคิด "ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" หากยังคงให้การสนับสนุนการทำสงครามในกาซาของอิสราเอล ที่สังหารผู้คนไปแล้วหลายหมื่นชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามหลังการโจมตีคาราวานบรรเทาทุกข์เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
การโจมตีขบวนรถบรรเทาทุกข์ ซึ่งสังหารเจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ต่างชาติไปหลายราย การทำลายล้างโรงพยาบาลที่มีผู้คนอยู่ภายในหลายร้อยชีวิต และปฏิบัติการโจมตีทางอากาศถล่มสถานกงสุลหนึ่งในต่างประเทศ เหล่านี้เป็นเพียงหนึ่งหลายการกระทำของอิสราเอลในกาซาและในภูมิภาคในสัปดาห์นี้ ซึ่งซ้ำเติมคำกล่าวอ้างก่ออาชญากรรมสงคราม หรือแม้กระทั่งฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
จากพฤติกรรมดังกล่าว เริ่มมีเสียงเตือนว่าแม้กระทั่งพันธมิตรตะวันตกของอิสราเอลก็เสี่ยงเผชิญกับความเป็นไปได้ในการถูกตั้งข้อหาสมคบคิดในการก่ออาชญากรรมสงคราม ในขณะที่หลายชาติยังคงเดินหน้าส่งมอบอาวุธแก่อิสราเอลและระงับเงินช่วยเหลือต่างๆ ที่ป้อนแก่หน่วยงานหลักๆ ของสหประชาชาติที่ทำงานในกาซา ทั้งที่ประชาชนราว 2 ล้านคนในฉนวนแห่งนี้กำลังเผชิญกับภัยแห่งความอดอยากอย่างแท้จริง
ที่ผ่านมา ข้อกล่าวหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และการยื่นฟ้องดำเนินคดีโดยแอฟริกาใต้ต่อศาลยุติธรรมระหว่งประเทศ แทบไม่ก่อการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในเรื่องนี้แม้แต่น้อย
เมื่อช่วงปลายเดือนที่แล้ว ฟรานเซสกา อัลบานีส ผู้รายงานพิเศษด้านสถานการณ์ในปาเลสไตน์ของสหประชาชาติ ส่งคำเตือนถึงบรรดาพันธมิตรตะวันตกของอิสราเอล ด้วยการเผยแพร่รายงานฉบับหนึ่ง เน้นย้ำว่ามีสิ่งบ่งชี้อย่างชัดเจนว่า อิสราเอลกำลังละเมิดอนุสัญญาว่าด้วยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของสหประชาชาติ และบอกว่าการสมคบคิดในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เป็นสิ่งต้องห้าม และสิ่งต้องห้ามนี้เป็นข้อผูกมัดสำหรับประเทศที่ 3"
บนพื้นฐานดังกล่าว นิการากัวได้ยื่นฟ้องดำเนินคดีกับเยอรมนีต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฐานละเมิดกฎหมายสากล ด้วยการยังคงเดินหน้ามอบอาวุธแก่อิสราเอล ขณะเดียวกัน กลุ่มบุคคลต่างๆ ทั่วโลกก็กำลังหาทางดำเนินคดีกับรัฐบาลของพวกเขาเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เยอรมนียังคงมอบอาวุธแก่อิสราเอล ขณะที่ผู้จัดหาอาวุโรายใหญ่อื่นๆ อย่างเช่นสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และออสเตรเลียก็ยังไม่ระงับการขายอาวุธเช่นกัน แม้ว่าจนถึงตอนนี้มีผู้เสียชีวิตในกาซาแล้วกว่า 32,000 คน และมีคนตายเพิ่มขึ้นในทุกๆ วัน
"ความล้มเหลวของประเทศต่างๆ อย่างเช่นเยอรมนี สหราชอาณาจักร และสหรัฐฯ ในการทบทวนการสนับสนุนอิสราเอล ได้ก่อคำถามว่าประเทศต่างๆ เหล่านี้กำลังละเมิดพันธสัญญาขัดขวางการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หรือไม่ หรือแม้กระทั่งในบางจุด พวกเขาอาจถูกมองว่าสมคบคิดกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หรือล่วงละเมิดอื่นๆ ต่อกฎหมายระหว่างประเทศเลยด้วย" ไมเคิล เบคเกอร์ ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายสิทธิมนุษยชน ณ มหาวิทยาลัยทรินิตี ในดับลินกล่าว โดยที่เขาเคยทำงานที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมาก่อน
ในบันทึกที่รั่วไหลออกมาเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ ได้ยินเสียง อลิเซีย เคียร์นส์ สมาชิกพรรคคอนเซอร์เวทีฟ ประธานคณะกรรมาธิการกิจการต่างประเทศของรัฐสภาสหราชอาณาจักร พูดขึ้นว่าบรรดาทนายความของรัฐบาลสหราชอาณาจักร ได้ให้คำปรึกษาว่า อิสราเอล ได้ละเมิดกฎหมายมนุษยชนระหว่างประเทศ แต่ท้ายที่สุดแล้วรัฐบาลก็ไม่ได้ออกถ้อยแถลงในเรื่องดังกล่าว
ชาร์ลส ฟัลคอเนอร์ อดีตประธานฝ่ายตุลาการของสหราชอาณาจักร ให้ความเห็นว่าหากรัฐบาลสหราชอาณาจักรยอมรับว่าอิสราเอลละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ พวกเขาก็จะไม่มีทางเลือกอื่นๆ นอกเหนือจากหยุดแชร์ข่าวกรองกับอิสราเอล
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหราชอาณาจักร เน้นว่าคำปรึกษาเกี่ยวกับการยึดมั่นกฎหมายระหว่างประเทศของอิสราเอล ยังอยู่ภายใต้การพิจารณาทบทวน พร้อมบอกว่า "เหล่ารัฐมนตรีจะปฏิบัติให้สอดคล้องกับคำแนะนำดังกล่าว ยกตัวอย่างเช่น ในเรื่องเกี่ยวกับพิจารณาใบอนุญาตการส่งออกต่างๆ"
อย่างไรก็ตาม ทนายความชั้นนำสหราชอาณาจักรรายหนึ่งเตือนว่าสหราชอาณาจักรและประเทศอื่นๆ อาจต้องกังวลกับการกระทำผิดทางกฎหมายใดๆ ของอิสราเอลในอนาคต "ทุกรัฐบาลมีทีมกฎหมายคอยให้คำแนะนำอย่างต่อเนื่องว่าใครที่กำลังส่งออกอาวุธไปให้" เจฟฟรีย์ นีซ บอกกับอัลจาซีราห์ "มันคงน่าประหลาดใจมาก หากรัฐบาลสหราชอาณาจักรได้รับคำแนะนำในเหตุการณ์ต่างๆ ในกาซา ต่างจากที่ประเทศอื่นๆ ได้รับ"
"มีความโหดร้ายป่าเถื่อนเกิดขึ้นในวันที่ 7 ตุลาคม และการจับตัวประกันเป็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน อย่างไรก็ตาม อิสราเอลจำเป็นต้องแสดงให้เห็นถึงการกระทำที่สมสัดส่วน หลีกเลี่ยงความสูญเสียของพลเรือน" เขากล่าว "ถ้าเราไปถึงจุดที่มีการพิจารณาคดีทางอาญาเกี่ยวกับสงครามนี้ ผมคิดหมายว่าเราอาจได้เห็นประเทศยักษ์ใหญ่หลายชาติที่ตอนนี้กำลังให้การสนับสนุนอิสราเอล ทำทุกอย่างที่สามารถทำได้ ขัดขวางอิสราเอลจากการขึ้นให้ปากคำ เพราะอิสราเอลอาจบอกว่าเราดำเนินการตามการอนุญาตของพวกเขา เนื่องจากพวกเขาเป็นคนมอบอาวุธ"
(ที่มา : อัลจาซีราห์)