ตำรวจปากีสถานรวบตัวชายซึ่งเป็นคนถ่ายคลิปเหตุการณ์ขณะที่พี่ชายกำลังฆ่ารัดคอน้องสาวตัวเองจนเสียชีวิต ซึ่งถือเป็นคดี “ฆ่าเพื่อรักษาเกียรติ” ล่าสุดที่สร้างความโกรธแค้นไปทั่วประเทศ
ตำรวจแถลงเมื่อวานนี้ (31 มี.ค.) ว่า น.ส.มาเรีย บิบี วัย 22 ปี ถูกสังหารเมื่อวันที่ 17 มี.ค. ที่เมือง Toba Tek Singh ในแคว้นปัญจาบ โดยคนลงมือก็คือพี่ชายที่ชื่อ มูฮัมหมัด ไฟซอล และยังมี อับดุล ซัตตาร์ ซึ่งเป็นพ่อแท้ๆ ของเธอร่วมอยู่ในเหตุการณ์ด้วย
คลิปวิดีโอที่ถูกถ่ายไว้โดย เชห์บาซ พี่ชายอีกคนของผู้ตาย เผยให้เห็นว่า ไฟซอล ใช้เชือกรัดคอน้องสาวบนเตียงที่บ้าน โดยมีบิดานั่งมองอยู่ใกล้ๆ และมีช่วงหนึ่งที่ เชห์บาซ คนถ่ายคลิปพยายามร้องว่า “พ่อ บอกให้เขาหยุดเถอะ” แต่กลับถูกต่อว่า และ ไฟซอล ยังคงเดินหน้าใช้เชือกรัดคอหญิงสาวซึ่งนอนแน่นิ่งอยู่เป็นเวลานานกว่า 2 นาที
เมื่อ ไฟซอล ทำภารกิจเรียบร้อย คนเป็นพ่อยังยื่นน้ำให้ลูกชายดื่มด้วย
“ตำรวจได้ข้อมูลมาเมื่อวันที่ 24 มี.ค. ว่าเด็กสาวไม่ได้เสียชีวิตด้วยสาเหตุตามธรรมชาติ เราจึงได้เปิดการสอบสวน โดยเป็นผู้แจ้งความเอง” อาทา อุลเลาะห์ ตำรวจเมือง Toba Tek Singh ให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพีทางโทรศัพท์
ซัตตาร์ และ ไฟซอล ถูกจับกุมทันทีหลังเกิดเหตุ ขณะที่ เชห์บาซ ถูกจับเมื่อเย็นวันที่ 30 มี.ค. โดยตำรวจต้องการดูว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์มากน้อยแค่ไหน
ตำรวจเผยว่า เหตุฆาตกรรมโหดครั้งนี้มีลักษณะสอดคล้องกับการ “ฆ่าเพื่อรักษาเกียรติ” ทุกประการ
สังคมปากีสถานยังคงยึดถือธรรมเนียมที่เข้มงวด โดยผู้หญิงนั้นจะต้องเชื่อฟังญาติผู้ชายทั้งในเรื่องของการศึกษาเล่าเรียน การประกอบอาชีพ หรือแม้กระทั่งการเลือกผู้ชายที่จะแต่งงานสร้างครอบครัวด้วย
แต่ละปีมีผู้หญิงปากีสถานหลายร้อยคนที่ถูกฆ่าด้วยน้ำมือญาติตัวเอง เพียงเพราะถูกมองว่าฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ทางสังคมเหล่านี้
ข้อมูลจากคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนปากีสถานระบุว่า ในปี 2022 มีสตรีชาวปากีฯ ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมฆ่าเพื่อเกียรติมากถึง 316 กรณี และคาดว่ามีอีกหลายกรณีที่ไม่ถูกแจ้งความ เพราะคนในครอบครัวมักจะเลือกปกป้องฆาตกรซึ่งก็คือผู้ชายในบ้าน
ตำรวจระบุว่า ไฟซอล ซึ่งเป็นคนลงมือฆ่าไปพบว่าน้องสาวของเขาแอบวิดีโอคอลล์คุยกับผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่งหลายครั้ง
มัรยัม นาวาซ ผู้ว่าการแคว้นปัญจาบ ประกาศให้นี่เป็น “คดีสำคัญ” ซึ่งสาธารณชนให้ความสนใจ แม้ในทางปฏิบัติระบบกฎหมายปากีสถานจะยังคงเอื้อให้ผู้ชายสามารถฆ่าผู้หญิงได้โดยไม่ต้องรับผิดก็ตาม
ที่มา: เอเอฟพี