ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ในวันจันทร์ (25 มี.ค.) ยอมรับเป็นครั้งแรกว่า "พวกอิสลามิสต์หัวรุนแรง" อยู่เบื้องหลังเหตุโจมตีอาคารแสดงคอนเสิร์ตแห่งหนึ่งรอบนอกกรุงมอสโกในสัปดาห์ที่แล้ว แต่ยังคงบ่งชี้ว่ากลุ่มคนเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกับยูเครนในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง
มีบุคคล 11 รายถูกควบคุมตัวในความเกี่ยวข้องกับเหตุโจมตี ซึ่งพบเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์ในชุดลายพรางบุกจู่โจมอาคารครอคัส ซีตี ฮอลล์ เปิดฉากยิงเข้าใส่ผู้ชมคอนเสิร์ต และจุดไฟเผาอาคาร สังหารไปอย่างน้อย 139 ราย
"เรารู้ว่าอาชญากรรมนี้ก่อโดยน้ำมือของพวกอิสลามิสต์หัวรุนแรง ที่มีอุดมการณ์ต่อสู้เพื่อโลกอิสลามิกของตนเองมานานหลายศตวรรษ" ปูตินกล่าวระหว่างการประชุมที่มีการถ่ายทอดทางโทรทัศน์
อย่างไรก็ตาม ผู้นำรัสเซียระบุต่อว่า ยังคงมีอีกหลายคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ ในนั้นรวมถึงข้อสงสัยที่ว่าทำไมพวกมือโจมตีถึงพยายามหลบหนีไปยังยูเครน คำกล่าวอ้างที่ยูเครนปฏิเสธ
"แน่นอน มันจำเป็นต้องตอบคำถามข้อสงสัยนี้ ว่าทำไม หลังจากก่ออาชญากรรมพวกก่อการร้ายถึงพยายามไปยังยูเครน ใครกันที่รอพวกเขาอยู่ที่นั่น" ปูตินตั้งคำถาม "ความโหดร้ายป่าเถื่อนนี้อาจเป็นแค่จุดเชื่อมโยงในเรื่องราวต่างๆ ทั้งมวล ในความพยายามของพวกคนที่ทำสงครามกับประเทศของเรามาตั้งแต่ปี 2014" เขากล่าว อ้างถึงยูเครนและพันธมิตร
ยูเครนให้คำจำกัดความคำกล่าวหาพวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องว่าเป็นเรื่องไร้สาระ "ปูตินกำลังพูดกับตัวเองอีกครั้ง และเป็นอีกครั้งที่มีการออกอากาศทางโทรทัศน์ และอีกครั้งที่เขากล่าวโทษยูเครน" ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน กล่าว
พวกนักรบญิฮาดรัฐอิสลาม (ไอเอส) กล่าวอ้างหลายต่อหลายครั้งนับตั้งแต่วันศุกร์ (22 มี.ค.) ว่าพวกเขาอยู่เบื้องหลังการโจมตี และสื่อมวลชนหลายแห่งที่เกี่ยวข้องกับไอเอส เผยแพร่กราฟิกวิดีโอในตอนที่มือปืนอยู่ภายในอาคารแสดงคอนเสิร์ต
เมื่อถูกถามเกี่ยวกับคำกล่าวอ้างความรับผิดชอบของไอเอส ทาง ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกวังเครมลิน ระบุในวันจันทร์ (25 มี.ค.) ว่ายังอยู่ระหว่างการสืบสวน ในขณะที่พวกเจ้าหน้าที่คาดหมายว่ายอดผู้เสียชีวิตจะสูงขึ้นกว่านี้ โดยหน่วยกู้ภัยยังคงค้นหาร่างไร้วิญญาณ ณ จุดเกิดเหตุและมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 97 คน ที่ยังรักษาตัวในโรงพยาบาล
วังเครมลินยังคงแสดงความเชื่อมั่นต่อบรรดาหน่วยงานความมั่นคงที่ทรงแสนยานุภาพของประเทศ แม้เกิดคำถามต่างๆ ว่าพวกเขาล้มเหลวในการสกัดเหตุสังหารหมู่ครั้งนี้ได้อย่างไร แม้มีเสียงเตือนทั้งอย่างเปิดเผยและอย่างลับๆ จากเหล่าหน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ
ระหว่างการพิจารณาคดีในช่วงกลางคืนในมอสก ลากยาวจนถึงช่วงเช้าของวันจันทร์ (25 มี.ค.) ผู้ต้องสงสัย 4 คน ที่มีรอยถลอกและบาดแผลบนใบหน้าที่บวมเป่ง ถูกลากตัวเข้าสู่ศาลแขวงบาสมานนีในกรุงมอสโก ต่อหน้าพวกผู้สื่อข่าวหลายสิบคน
เปสคอฟ ปฏิเสธแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรายงานข่าวและวิดีโอต่างๆ ที่ปรากฏบนสื่อสังคมออนไลน์ ที่เผยให้เห็นถึงการสอบปากคำผู้ต้องสงสัยที่ถึงขึ้นเลือดตกยางออก หลังจากพวกเขาถูกจับกุมในวันเสาร์ (23 มี.ค.)
ศาลระบุตัวผู้ต้องสงสัยได้แก่ มูฮัมมัดโซบีร์ ฟายซอฟ ชัมซิดิน ฟาริดูนิ ราชาบาลิโซดา ไวดาครามี และดาเลอร์จอน มิร์โซเยฟ โดยที่สื่อมวลชนแห่งรัฐรัสเซียรายงานว่าทั้งหมดเป็นพลเรือนของทาจิกิสถาน และ 2 คนในนั้นยอมรับผิดทุกข้อกล่าวหา
นอกจากนี้ ยังมีผู้ต้องสงสัยอื่นๆ อีก 3 ราย ซึ่งสื่อรัสเซียรายงานว่ามาจากครอบครัวเดียวกัน ได้แก่ อามินชอน อิสโลมอฟ ดิโลวาร์ อิสโลมอฟ และอิสโรอิล อิสโลมอฟ ยังคงอยู่ภายใต้ถูกควบคุมตัวก่อนการพิจารณาคดีในวันจันทร์ (25 มี.ค.)
สำนักข่าวอินเตอร์แฟ็กซ์รายงานว่าหนึ่งในคนเหล่านี้เป็นพลเรือนรัสเซีย และทั้งหมดที่ถูกควบคุมตัวถูกตั้งข้อหาก่อการร้าย ซึ่งมีโทษสูงสุดจำคุกตลอดชีวิต หลังจากก่อนหน้านี้ วังเครมลินปฏิเสธเสียงชี้แนะให้รื้อฟื้นกลับมาใช้โทษประหารชีวิต
มีอย่างน้อย 139 คนที่เสียชีวิตในเหตุโจมตี จากการเปิดเผยของ อเล็กซานเดอร์ บาสตรีคิน หัวหน้าคณะกรรมการสืบสวนของรัสเซีย พร้อมเผยว่าหลังจากลงมือกราดยิงอย่างน่าตกตะลึงแล้ว พวกกลุ่มมือปืนได้จุดไฟเผาตัวอาคาร ทำให้คนจำนวนมากติดอยู่ภายใน
จากข้อมูลของคณะกรรมการสืบสวนของรัสเซีย พบว่าบรรดาเหยื่อที่เสียชีวิตในเหตุการณ์นี้ ทั้งเสียชีวิตจากบาดแผลกระสุนปืนและสำลักควันไฟ
มีผู้ชมมากกว่า 5,000 คน อยู่ในอาคารแสดงคอนเสิร์ต ตอนที่พวกกลุ่มมือปืนบุกจู่โจม ก่อนหน้าการแสดงคอนเสิร์ตร็อกที่ตั๋วขายหมดเกลี้ยง ตามรายงานของสื่อมวลชนแห่งรัฐ
ในวันจันทร์ (25 มี.ค.) ปูตินร้องขอกองกำลังความมั่นคงรัสเซียอีกรอบ ให้หาตัวทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายครั้งนี้ ในนั้นรวมถึงพวกผู้สั่งการ ในขณะที่ทางหน่วยงานความมั่นคงรัสเซีย FSB อ้างว่าพวกมือปืนมีเส้นสายในยูเครน แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ เพิ่มเติม
สหรัฐฯ ซึ่งเมื่อวันที่ 7 มีนาคม เคยเตือนเกี่ยวกับเหตุโจมตีโดยฝีมือของหัวรุนแรง ที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกขณะในมอสโก บอกว่าพวกไอเอสคือผู้รับผิดชอบเพียงหนึ่งเดียวต่อเหตุการณ์นี้
ส่วนประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส เตือนรัสเซียต่อการฉวยประโยชน์จากเหตุโจมตี ในการกล่าวโทษไปที่ยูเครน
(ที่มา : เอเอฟพี)