ดัชเชสเมแกนกับปรินซ์แฮร์รี ซึ่งเร่งรณรงค์รีแบรนด์ภาพลักษณ์มาตั้งแต่กุมภาพันธ์ จดจน 10 มีนาคม 2024 เพื่อให้พสกนิกรเมืองผู้ดีคลายความรู้สึกต่อต้านชิงชัง สามารถครองพื้นที่ข่าวเด่นในประเทศอังกฤษไว้ได้อย่างมากมายและต่อเนื่อง โดยมาฮอตสุดๆ ในช่วงวีคเอนด์วันสตรีสากล 8-10 มีนาคม 2024 แต่แล้วก็ถึงกับวูบหายเงียบกริบดั่งดาวตก เมื่อเผชิญกับปรากฎการณ์สุดช็อก “กรณี Photogate แห่งวังเคนซิงตัน” ที่อุบัติขึ้นในท่ามกลางความคับข้องใจกับ "ดรามาเจ้าหญิงเคทอยู่ไหน" พลังช็อกกิ้งทำเอาผู้คนว้าวุ่นอลหม่าน เพราะว่า พระรูปวันแม่ของปรินเซสเคทและพระโอรสพระธิดาน่าจะเป็นภาพตัดต่อแน่นอน ใครทำ – ทำทำไม!!
ซึ่งก็ต้องตกใจกันอย่างแน่นอน ในเมื่อพระรูปนี้ถูกส่งตรงจากสำนักพระราชวังเคนซิงตัน ไปสู่สื่อมวลชนทั้งปวง เพื่อใช้ประกอบไปกับการอวยพรวันแม่ของสหราชอาณาจักร ณ วันที่ 10 มี.ค. 2024 ใครเลยจะกล้าเข้าไปทำโฟโต้ช็อปตัดแต่งรูป ถ้ามิใช่ผู้ที่อยู่ในแวดวงพระราชวัง
ทำมาทำไป ก็เป็นพระรูปบานนี้นี่เองที่กลายเป็นกระแสข่าวโด่งดังในสารพัดมุมข่าว กลบข่าวอื่นๆ ทุกสถาบัน
ชั่วโมงต่างๆ นาทีต่างๆ ผ่านไปนานข้ามคืนหรือก็คือหนึ่งวันกว่าๆ กว่าที่สำนักพระราชวังเคนซิงตันจะเผยแพร่คำเฉลยว่า พระรูปนี้ถูกปรับปรุงตกแต่งเพิ่มเติมโดยเจ้าของภาพ คือ เจ้าหญิงแคเธอริน พระชายาแห่งเจ้าฟ้าชายวิลเลียม ในเวลาเดียวกัน โพสต์ชี้แจง ซึ่งเจ้าหญิงเคทเขียนขออภัยที่เกิดความสับสน ถูกนำขึ้นบนแพลตฟอร์มต่างๆ ของโลกโซเชียลมีเดีย
ในด้านของชาวคณะซัสเซกซ์แห่งตำหนักมอนเตซิโตก็ใช้เวลาไม่ใช่น้อย กว่าจะพลิกเกมชิงพื้นที่ข่าว ให้สามารถเอาประเด็นของตนเองแหวกท้องทะเลอันปั่นป่วนแห่งข่าว Photogate ของเคนซิงตันพาเลซ ขึ้นไปสู่สายตาของมวลมหาชนได้สำเร็จ แต่ก็ต้องอาศัยการโหนกระแสข่าวของปรินเซสแคเธอรินอยู่ดี
โดยนานาคนใกล้ชิดของดัชเชสเมแกนและปรินซ์แฮร์รี ลุยเข้าร่วมพายุที่กระหน่ำเข้าสู่สำนักพระราชวัง ซึ่งมุ่งหมายจะจิกให้ผู้ใหญ่ในวังยอมสารภาพความเป็นมาเป็นไปของ Photogate แห่งพระรูปวันแม่ ออกมาให้หมดเปลือกกันเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเป็นมาว่าประดาโฟโต้ช็อปที่จับเจอได้ทั้งหมดราวโหลครึ่ง นั้น มันมีนัยอะไรกันแน่ เฉพาะเพียงแค่คำทวิตยอมรับและขออภัยจาก “ปรินเซส C” ว่าทรงเป็นผู้ทำการโฟโต้ช็อปพระรูปอวยพรวันแม่ ไปตามประสาช่างภาพมือสมัครเล่นที่จะแก้ไขรูปบ้างเป็นครั้งคราว นั้น สื่อมวลชนยังไม่แล้วแก่ใจ
ในการนี้ คนใกล้ชิดของดยุกและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์โหนกระแส เข้าไปเมาท์มอยไว้กับสื่อใหญ่ เพจซิกซ์ บลัฟใส่เจ้าหญิงแห่งเวลส์ว่า เรื่องอย่างนี้จะไม่เกิดขึ้นกับดัชเชสเมแกนหรอก เพราะดัชเชสตาไว ตรวจเจอความผิดปกติของภาพได้สบาย
ชาวคณะซัสเซกซ์ทำได้ดีที่สุดแค่ โหนกระแส Photogate ของสำนักพระราชวัง และดันข่าวเข้าไปได้เพียง 1 ข่าวที่มีชื่อดัชเชสเมแกนปรากฏที่บรรทัดพาดหัว
“ดัชเชสเมแกนไม่เคยทำความผิดพลาดเยี่ยงนี้ เพราะเธอใส่ใจกับรายละเอียดอย่างเวอร์วัง” ชาวคณะซัสเซกซ์เมาท์มอยไปถึงเจ้าหญิงของอังกฤษผู้จะขึ้นสู่ตำแหน่งสมเด็จพระราชินีแห่งสหราชอาณาจักรในอนาคต
พร้อมนี้ เพจซิกซ์ยังรายงานเนื้อหาการเมาท์มอยเพิ่มเติมด้วยว่า
ถ้าดัชเชสเมแกนและปรินซ์แฮร์รีเผยแพร่ภาพที่มีการแอบทำโฟโต้ช็อป แล้วถูกจับได้ล่ะก้อ ทั้งสองพระองค์ “จะต้องถูกถล่มทำลายล้าง” ไปแล้ว
ถ้อยคำเยินยอเจ้านายแห่งมอนเตซิโต ตลอดจนเกทับบลัฟแหลกประชดประชันไปที่พระเชษฐนีแคเธอริน อีกทั้งยังเหน็บแนมจิกกัดไปถึงสาธารณชนด้วยข้อกล่าวหาที่แทรกไว้ระหว่างบรรทัด ว่าทำตัวสองมาตรฐาน ถ้าเป็นเมแกนทำ คงรุมดร่ากันสะบักสะบอม แต่เมื่อเป็นเจ้าหญิงเคท มวลชนคนรักสถาบันก็แห่ไปปกป้องให้กำลังใจล้นหลาม ฯลฯ ถ้อยคำเหล่านี้กว่าจะไปถึงเพจซิกซ์ ก็ล่วงเข้าสู่วันที่ 12 มี.ค. แล้ว ขณะที่ภาพพระครอบครัวถูกโพสต์เผยแพร่บนโซเชียลมีเดีย พร้อมคำอวยพรวันแม่ตั้งแต่วันที่ 10 มี.ค. 2024
ในการนี้ โพสต์ภาพพระครอบครัวขึ้นไปแป๊บเดียว มหาชนคนตาไวจับสังเกตเห็นความผิดปกติของภาพได้มากมายหลายจุดเลบ ซึ่งทำให้โจษจันกันอย่างแซ่ดว่า นี่เป็นภาพที่ถูกตัดต่อด้วยแอปพลิเคชันอย่างแน่นอน
ในความอื้ออึงและโวยวายว่า ใครน่ะ ช่างกล้า สื่อมวลชนทุกค่ายตะโกนข่าวกันสนั่นโลกไซเบอร์ พร้อมกับเรียกร้องให้สำนักพระราชวงศ์ชี้แจงโดยด่วน ในเมื่อภาพเจ้าปัญหา เป็นภาพของสำนักพระราชวังส่งตรงถึงสื่อมวลชน มือมืดที่จะทำการตัดต่อภาพย่อมจะต้องเป็นมือในพระราชสำนักนั่นเอง
ขณะเดียวกันสำนักข่าวระหว่างประเทศค่ายใหญ่ยักษ์ของโลก พากันเก็บภาพออกมาเพราะเป็นภาพที่ถูกดัดแปลง ไม่ว่าจะเป็น เอพี รอยเตอร์ เอเอฟพี เก็ตตีอิมเมจ หรือพีเอ (เพรส แอสโซซิเอชัน) โดยเอพี กับรอยเตอร์รีบเตือนลูกค้าหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ในทุกแห่งทั่วโลก ให้ทิ้งภาพโดยด่วน เดลิเมลออนไลน์รายงาน
ดั่งจะเป็นการโหมเชื้อเพลิงให้กระแสว้าวุ่นในทุกแวดวงได้ลุกโชนโชติช่วง จดจนวันอาทิตย์ที่ 10 มี.ค. ล่วงผ่านไปแล้ว แต่ก็ยังไม่มีปฏิกิริยาออกมาจากสำนักพระราชวัง จนกระทั่งถึงเวลา 10.28 น. ของวันจันทร์ที่ 11 มี.ค. คำเฉลยจึงปรากฏให้ทราบกันโดยทั่วถึงบนแอคเคาท์ The Prince and Princess of Wales บน X หรือก็คือ ทวิตเตอร์ นั่นเอง
“ก็เหมือนช่างภาพสมัครเล่นมากมายน่ะค่ะ ดิฉันทดลองแก้ไขปรับเปลี่ยนภาพบ้างเป็นครั้งเป็นคราว” เจ้าหญิงเคททรงทวิตคำแถลงในพระมู้ดอ่อนหวาน ตรงไปตรงมา ออกผ่านแอคเคาท์บนโซเชียลมีเดียต่างๆ ของสำนักพระราชวังเคนซิงตัน
“ดิฉันอยากจะแสดงการขออภัยอย่างที่สุด สำหรับความสับสนที่เกิดขึ้นจากภาพครอบครัวที่เราแชร์ขึ้นไป ดิฉันหวังว่าทุกท่านที่ฉลองวันแม่ ได้มีความสุขมากมายในวันแม่นะคะ” เจ้าหญิงเคททรงทวิตขออภัยประชาชนโดยไม่อ้อมค้อม และลงพระนามด้านท้ายข้อความทวิต ด้วยอักษรตัว C ที่เข้าใจกันได้ว่าหมายถึง แคเธอริน - Catherine
อย่างไรก็ตาม สำนักพระราชวังมิได้นำส่งไฟล์ภาพต้นฉบับของปรินเซสเคท เจ้าชายจอร์จ เจ้าหญิงชาร์ลอตต์ และเจ้าชายหลุยส์ ไปให้สื่อมวลชนเพื่อทดแทนภาพมีปัญหา นิตยสารทาวน์แอนด์คันทรีรายงาน
บรรดาสื่อมวลชนค่ายต่างๆ และท่านผู้ชมมากมายทั่วประเทศ พากันเคลือบแคลงใจว่า พระรูปเจ้าปัญหานี้อาจเป็นภาพที่ถูกเมกขึ้นทั้งหมด ผ่านการนำองค์ประกอบน้อยใหญ่มาสร้างเป็นภาพใหม่ ดังนั้น จึงย่อมจะต้องมีจุดต่อที่ไม่สามารถผสานให้ต่อเนื่องกันอย่างเป๊ะได้ และกลายเป็นเบาะแสให้สังเกตถึงความผิดปกติ
ด้วยเหตุนี้ หากพระรูปบานนี้มีภาพต้นฉบับที่เกิดจากการกดชัตเตอร์ แล้วจึงค่อยถูกปรับแก้และเอดิตภาพ สำนักพระราชวังย่อมจะสามารถนำส่งไฟล์พระรูปต้นฉบับ มอบให้สื่อเพื่อทดแทนไฟล์พระรูปโฟโต้ช็อป ซึ่งจะเป็นการสำแดงความโปร่งใสนั่นเอง
เหนือสิ่งอื่นใด เรื่องราวพระพลานามัยของปรินเซสเคท อยู่ในระดับหนักหนากว่าที่สำนักพระราชวังแถลงออกมาหรือไม่นั้น ทำให้สาธารณชนแอบเป็นห่วงกันอย่างยิ่ง พร้อมกับก่อตัวขึ้นเป็น “ดรามาพระพลานามัย” มาตลอดตั้งแต่กลางเดือนก.พ. โดยสื่อมวลชนได้รับสัญญาณกระซิบว่า หลังเข้ารับการผ่าตัดใหญ่เมื่อ 16 ม.ค. 2024 พระพลานามัยของเจ้าหญิงเคท อาจยังไม่สามารถฟื้นตัวได้จริง ซึ่งนั่นจะเป็นข่าวสำคัญและฮือฮาอย่างยิ่ง สื่อมวลชนแน่ใจว่าประชาชนต้องการจะได้ทราบ
ดังนั้น จึงมีการเรียกร้องงอแงกันไปวันแล้ววันเล่า เพื่อให้สำนักพระราชวัง “สารภาพ” มาดีๆ ว่าพระพลานามัยของเจ้าหญิงเคททรงเป็นอย่างไรกันแน่ หนักหนาน่าเป็นห่วงใช่ไหม
โดยมีกระทั่งวิธีที่ช่างภาพรอทำข่าวเจ้าชายวิลเลียม ปรินซ์ออฟเวลส์ เสด็จเยือนสนามฟุตบอลเร็กแซม (ซึ่งมีบทบาทสูงในด้านสาธารณกุศลภายในประเทศเวลส์) เนื่องในโอกาสการเฉลิมฉลองนักบุญเดวิด นักบุญองค์อุปถัมภ์ประเทศเวลส์ เมื่อวันศุกร์ที่ 1 มี.ค. 2024
แล้วช่างภาพใจกล้านายหนึ่งตะโกนถามพระองค์อย่างดื้อๆ เลยว่า “ปรินซ์ครับ เจ้าหญิงเคทเป็นอย่างไรบ้าง”
แต่ความพยายามของสื่อมวลชนไม่บรรลุผลสำเร็จ โดยปรินซ์วิลเลียมทรงทำพระกรรณทวนลม แบบว่าไม่ได้ยินเสียงตะโกนลอยลม และทรงพระดำเนินผ่านกลุ่มช่างภาพไปเฉยๆ
ในการนี้ หากสื่อมวลชนสามารถบีบให้สำนักพระราชวังยอมรับว่าพระรูปพระราชวงศ์สำนักเวลส์เพื่อฉลองวันแม่แห่งชาตินี้ ไม่มีภาพจริง มีเพียงภาพโฟโต้ช็อปล้วนๆ ก็จะเป็นเครื่องพิสูจน์สืบต่อไปว่า เจ้าหญิงเคทยังทรงพระประชวร เกินกว่าจะสามารถลุกขึ้นมาให้ฉายพระรูปในพระโฉมอันแจ่มใสพระพลานามัยดีตามสมควรได้
ด้วยเหตุนี้ แทนที่วังหลวงจะสามารถใช้พระรูปแจ่มใสใหม่เอี่ยมของปรินเซสเคท ไปบรรเทาอารมณ์ว้าวุ่นของสื่อมวลชนและสาธารณชน ให้คลายความวิตกกังวลถึงพระพลานามัยของปรินเซสคนดีที่แสนรักของชาวอังกฤษ ก็กลับกลายเป็นการจุดชนวนให้ดรามาพระพลานามัย ระเบิดระเบ้อเป็นข่าวใหญ่ฮือฮาไปตามความพยายามของสื่อมวลชนที่จะจับโป๊ะสำนักพระราชวังให้ดิ้นไม่หลุดกันเลยทีเดียว
ถ้าจะว่าไปกรณี Photogate ของสำนักพระราชวังเคนซิงตัน นับว่ามีมูลเหตุที่สมควรจะต้องสงสัยอย่างยิ่ง ในเมื่อมีจุดผิดสังเกตเห็นกันได้อย่างง่ายดายไม่น้อยกว่า 18 แห่ง ซึ่งทำให้สื่อมวลชนโวยหนักมากว่า สำนักพระราชวังสูญเสียความน่าเชื่อถือแล้ว ด้านเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ก็ทรงออกพระอาการเครียดไม่ใช่น้อยๆ
ตรวจสอบ 18 จุดตัดต่อที่ทำให้ภาพมีความผิดปกติ ซึ่งจะเป็นร่องรอยว่า “ไม่เคยมีพระรูปเจ้าหญิงเคทกับพระโอรสพระธิดาเกิดขึ้นใน มี.ค. 2024” เลย
1.พระหัตถ์ซ้ายของเจ้าหญิงชาร์ลอตต์ กับปลายแขนเสื้อที่ทาบอยู่ ปรากฏให้เห็นการเหลื่อมกัน
2.ส่วนหนึ่งของซิปเสื้อแจ๊กเก็ตของเจ้าหญิงเคท ปรากฏห่างมาทางซ้ายจากแนวซิปหลัก ทั้งนี้ เมื่อขยายภาพส่วนนี้ขึ้นมาชัดๆ จะเห็นได้ว่าเป็นการนำภาพพระพักตร์ของเจ้าหญิงเคทมาวางทับบนภาพร่างกายของใครสักคน โดยวางทาบแปะลงไปดื้อๆ ทำให้เห็นความเหลื่อมอย่างโจ่งแจ้ง
3.ช่วงปลายพระเกศาของเจ้าหญิงชาร์ลอตต์ ซึ่งทอดลงมาถึงบ่าไหล่ข้างขวา กระเด้งลอยออกจากต้นพระกร ไม่ปกติเลย แบบนี้น่าจะเป็นการตัดมาจากภาพอื่นที่เส้นพระเกศาทาบอยู่กับไหล่เสื้อที่กว้างกว่า จึงไม่สามารถต่อภาพลงไปให้เส้นพระเกศาแนบไหล่ของภาพนี้ได้
4.กระโปรงด้านขวาของเจ้าหญิงชาร์ลอตต์ ไม่มีจีบเหมือนกับกระโปรงด้านซ้าย และยื่นออกมาเกินกว่าแนวของตัวเสื้อ
5.พระชานุหัวเข่าข้างขวาของเจ้าหญิงชาร์ลอตต์ มีสีด่างเป็นทางยาว
6.ลายของเสื้อไหมพรมของเจ้าชายหลุยส์ บริเวณแขนขวาใกล้วงแขน แหว่งหายไป
7.นิ้วโป้งบนมือขวาของเจ้าชายหลุยส์ถูกทำให้เบลอ
8.ขอบของขั้นบันไดหิน (อันบน) ผิดปกติ
9.ขอบของขั้นบันไดหิน (อันล่าง) ผิดปกติ
10.ขอบล่างขั้นบันไดส่วนที่ติดกับกำแพงขาดตอนหายไป
11พระหัตถ์ซ้ายของเจ้าชายหลุยส์ มีนิ้วก้อยที่สั้นผิดปกติ
12.พระกรขวาของเจ้าชายจอร์จ บริเวณตอนปลายของเสื้อไหมพรมดูผิดปกติ
13.พระหัตถ์ขวาของเจ้าหญิงเคทมีการเบลอภาพ เสื้อไหมพรมที่ถูกจับก็ควรจะเบลอด้วย แต่เห็นได้ว่าไม่เบลอ
14.พระเกศาด้านขวาของเจ้าหญิงเคทซึ่งมีเสื้อไหมพรมของเจ้าชายจอร์จเป็นแบ็กกราวด์นั้น มีการเบลอภาพพระเกศา แต่เสื้อไหมพรมของเจ้าชายจอร์จไม่เบลอ
15.พระเกศาตรงหัวไหล่ด้านขวาของเจ้าหญิงชาร์ลอตต์ ทิ้งตัวลงไปอย่างไม่เป็นธรรมชาติ
16.แขนเสื้อไหมพรมของเจ้าชายจอร์จ มีเส้นแปลกๆ ปรากฏเป็นแนวหลายเส้น
17.ดอกไม้ยังไม่สามารถบานสวยในเดือนมี.ค.
18.เจ้าหญิงเคททรงไม่มีพระธำมะรงค์หมั้นแซฟไฟร์สีน้ำเงินบนนิ้ว
19.พระทนต์คู่หน้าของเจ้าหญิงชาร์ลอตต์มีขนาดใหญ่ผิดปกติ เมื่อเทียบกันพระทนต์องค์อื่นๆ ที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งทำให้แลเป็นการ์ตูน และเมื่อเปรียบกับรูปอื่นก็นับเป็นความผิดปกติที่เห็นได้ชัดเจน
ความผิดปกติของพระรูปที่สังเกตเห็นกันได้อย่างง่ายดายไม่น้อยกว่า 19 จุด ทำให้กระแสดรามาพระพลานามัยของเจ้าหญิงเคทร้อนแรงครึกโครมจากวันอาทิตย์ 10 มี.ค. จดจนวันจันทร์-อังคารที่ 11-12 มี.ค. พร้อมกับเสริมแกร่งให้แก่ความคลางใจของสื่อมวลชนและผู้คนทั้งหลายที่ว่า พระรูปเจ้าปัญหานี้ถูกเมกขึ้นมาทั้งหมด นั่นคือประการที่หนึ่ง ส่วนประการที่สองคือ พระพลานามัยของเจ้าหญิงเคทยังน่าจะหนักหนา เกินกว่าจะทรงลุกออกมานั่งแย้มพระสรวลสดใสด้วยกันกับพระโอรสพระธิดา อีกทั้งยังไม่สามารถประกอบพระภารกิจต่างๆ ได้
แต่แล้ว อาฟเตอร์ช็อกสาดเข้าเขย่าสาธารณชนชาวเมืองผู้ดีซ้ำอีกหนึ่งระลอกอย่างเหนือความคาดหมาย
อาฟเตอร์ช็อกสาดใส่สาธารณชนคนเมืองผู้ดี: “ดรามาว้าวุ่นใจ - สงสัยจะเป็นภาพเมก” ผุดขึ้นซ้ำอีกรูป ทั้งที่ “ดรามาพระรูปวันแม่” แค่ลดความร้อนแรงลงสู่ระดับคุกรุ่น
ขณะที่ดรามาวันอาทิตย์ยังคุกรุ่นอยู่แท้ๆ โดยมีข้อความขออภัยจากปรินเซสเคททวิตขึ้นไปบรรเทาความว้าวุ่นของชาวเมืองผู้ดีเมื่อช่วงสายๆ ของวันจันทร์ แต่ก็เกิดจะมีดรามารายการใหม่ผุดขึ้นมาย้ำซ้ำอีกหนึ่งยก เมื่อช่างภาพมือโปรในสายพระราชสำนัก ได้พระรูปของปรินซ์วิลเลียมทรงประทับนั่งในพระราชยานยนต์หลวง โดยมีสุภาพสตรีที่แลละม้าย ปรินเซสเคท นั่งอยู่เคียงข้าง ทั้งนี้ สุภาพสตรีดังกล่าวอยู่ในชุดเครื่องแต่งกายที่ดูเป็นทางการ พร้อมเกล้ามวยงดงาม และแต่งหน้าเป็นเรื่องเป็นราว มีขนตาปลอมด้วย ดั่งว่าจะไปออกงานพิธี
พระรูปบานนี้ถูกเผยแพร่สู่สื่อมวลชนทั้งปวงโดยไว แล้วกลายเป็นข่าวครึกโครมอย่างฉับพลันว่า ปรินเซสเคททรงปรากฏพระองค์เคียงคู่กับปรินซ์วิลเลียมเป็นครั้งแรก นับจากที่ปรินเซสทรงได้รับการผ่าตัดใหญ่เมื่อ 16 ม.ค. 2024 อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกที่คู่ขวัญยี่หวาของพสกนิกร ทรงปรากฏพระองค์เคียงข้างกันให้สาธารณชนได้ปลื้มปริ่มชื่นชมนับจากเมื่อช่วงเทศกาลคริสต์มาส 2023
ในการนี้ แม้ปรินซ์ออฟเวลส์ทรงพระดำเนินเข้าร่วมพระราชพิธีมิสซาฉลองวันคอมมอนเวลธ์เดย์ แต่ปรินเซสเคทรงออกจากพระตำหนักอเดเลด คอตเทจ เพื่อพระภารกิจส่วนพระองค์ โดยที่ผ่านมา ปรินเซสทรงพักรักษาพระองค์จากการผ่าตัด และโดยประทับปักหลักในพระตำหนักซึ่งอยู่ในเขตพระราชฐานวินด์เซอร์ นิตยสารทาวน์แอนด์คันทรีรายงานไว้บนหน้าเว็บไซต์ข่าว
กระนั้นก็ตาม ภายในเวลาอันรวดเร็ว พระรูปดังกล่าวของปรินซ์วิลเลียมถูกชี้จุดผิดปกติที่ทำให้ฝ่ายต่างๆ โวยวายกันอีกรอบว่า มีการเผยแพร่ภาพเมกขึ้นมาอีกแล้วหรืออย่างไร
สิ่งผิดปกติที่เห็นเด่นๆ ได้แก่ ลักษณะของแผงกำแพงที่เป็นแบ็กกราวด์ของพระรูปทางด้านนอกพระราชยานยนต์หลวง แตกต่างอย่างชัดเจนจากลักษณะของกำแพงที่แลเห็นทะลุบานกระจกของพระราชยานฯ
นอกจากนั้น สุภาพสตรีผู้แลเหมือนปรินเซสเคท อยู่ในอิริยาบถหันมองไปทางซ้าย ดังนั้น ภาพที่แลเห็นในพระรูปเจ้าปัญหานี้ จึงมีเพียงเสี้ยวเล็กๆ และทำให้ถูกมองว่าเป็นพิรุธ ประมาณว่าสุภาพสตรีที่นั่งข้างปรินซ์วิลเลียม จงใจจะไม่ให้เห็นใบหน้าแท้จริง
ด้าน ลิซ โจนส์ นักเขียนตัวแม่ของเดลิเมลออนไลน์ ซึ่งร่วมตะโกนข่าวและโวยไปกับ “ดรามาเจ้าหญิงเคท” มาตลอดนั้น ในเรื่องพระรูปเจ้าฟ้าชายวิลเลียม ลิซ โจนส์ เขียนในคอลัมน์ของเธอในแนวคิดที่ว่า ไม่เชื่อหรอก จะเป็นเจ้าหญิงเคทตัวจริงได้อย่างไร
“อิฐของกำแพงไม่ได้เหมือนกับที่เห็นผ่านหน้าต่างพระราชยานยนต์หลวง แล้วมันเรื่องอะไรกันที่จู่ๆ ทั้งสองพระองค์จะต้องทำเป็นหนึ่งครอบครัว รถยนต์หนึ่งคัน ทำไมเจ้าหญิงเคทจะต้องแต่งพระพักตร์เต็มแมกซ์ ครบเครื่องด้วยขนตาปลอม และก็รวบผมมวยขึ้นอย่างเรียบร้อยราวกับจะออกงานพิธีการ ทั้งๆ ที่ทรงเสด็จไปธุระส่วนพระองค์
“พระรูปของปรินเซสเคทในแสงเงานี้ ต้องถ่ายไว้ตั้งแต่เมื่อคราวที่ทรงพระดำเนินไปยังโบสถ์ในวันคริสต์มาส 2023 แล้ว ‘คนพวกนั้น’ ก็แค่ลบต่างหูของพระองค์ เราเห็นขอบพระมาลาได้อย่างชัดเจนด้วย ‘คนพวกนั้น’ ทำโฟโต้ช็อปได้แย่มาก
“ภาพสตรีมัวๆ เพราะแสงเงาภายในพระราชยายนต์หลวง ที่แท้แล้ว เป็นใครคนอื่นหรือเปล่า - ดูขากรรไกรสิคะ!” ลิซ โจนส์ เขียนความคลางใจของตัวเองออกไปเต็มแมกซ์
“ผิดปกติเหลือเกิน แต่ภาพนี้เตือนใจให้ระลึกถึงหลายเรื่อง เช่น มันยืนยันว่าเจ้าหญิงเคททรงมิได้เกี่ยวข้องแต่อย่างใดกับหายนะแห่งพระรูปวันแม่แห่งชาติ ยิ่งกว่านั้น ยังยืนยันด้วยว่า มีบางอย่างที่ร้ายแรงเกิดขึ้นและยังเรื้อรังอยู่
“เป็นไปได้อย่างไรที่เจ้าหญิงพระองค์นี้ ซึ่งอารมณ์ดี มีความสุข และตรงไปตรงมา จะทรงต้องรับตราบาปจากพระรูปโฟโต้ช็อป เจ้าหญิงเคททรงรู้จักช่างภาพทุกคนที่รอถ่ายรูปอยู่ด้านนอกพระราชวังวินด์เซอร์เป็นอย่างดี เฉกเช่นกับที่ทรงรู้จักพนักงานทำความสะอาดพระตำหนัก ทำไมพระองค์จะไม่ทรงยิ้มให้สักหนึ่งวินาทีขณะที่พระราชยานยนต์เคลื่อนผ่าน
“ภาพที่ปรากฏออกมานี้ บอกเราชัดเจนว่า นั่นไม่ใช่เจ้าหญิงเคทที่พวกเราทราบพระสไตล์เป็นอย่างดี
“ภาพบานนี้บอกดิฉันว่า เจ้าหญิงเคททรงไม่ได้ร่วมมือหรือเกี่ยวข้องใดๆ กับการโฟโต้ช็อปพระรูป แต่ทรงรับความผิดนี้ไว้เอง
“ดิฉันขอบอกเลยว่าเป็นทีมพีอาร์และทีมสื่อสารองค์กรของพระองค์นั่นแหละที่ดำเนินการทั้งหมดอย่างชุ่ยๆ เพราะพวกนั้นไม่เต็มใจทำงานวันหยุดสุดสัปดาห์”
ลิซ โจนส์ แห่งเดลิเมลออนไลน์วิเคราะห์ไว้อย่างนั้น ซึ่งสอดคล้องกับสื่ออื่นๆ อีกมากมาย และด้วยเสียงอื้ออึงทั้งปวง ช่างภาพที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์พระรูปนี้ นามว่า บรูซ เบนเนตต์ จึงต้องออกโรงมาให้สัมภาษณ์แก่สื่อต่างๆ เพื่อยืนยันว่าตนบันทึกพระรูปนี้มากับมือแท้ๆ โดยไม่มีการโฟโต้ช็อปใดๆ ทั้งสิ้น
บรูซ เบนเนตต์ บอกว่าตนได้รับออร์เดอร์งานจากค่ายข่าวเจ้าหนึ่งให้ไปดักถ่ายพระรูปปรินซ์วิลเลียมที่ด้านหน้าประตูเข้า-ออก พระราชวังวินด์เซอร์ เพราะปรินซ์ทรงมีหมายกำหนดการที่จะเข้าร่วมพระราชพิธีมิสซาฉลองวันเครือจักรภพ หรือก็คือ Commonwealth Services Day ณ มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ ในช่วงบ่าย
ช่างภาพเบนเนตต์กับช่างภาพอีกรายหนึ่งจึงไปดำเนินการตามออร์เดอร์ โดยภาพที่กดชัตเตอร์มาได้นั้น เป็นการเล็งในระยะค่อนข้างใกล้ และต้องใช้ความฉับไวสูง เมื่อกดชัตเตอร์ไปแล้ว จึงนำมาพิจารณาผลงาน แล้วได้เห็นว่าปรินซ์วิลเลียมทรงมิได้เดินทางตามลำพัง และปรากฏว่า เป็นปรินเซสเคทที่ทรงพระดำเนินไปด้วยกันในพระราชยานยนต์หลวง ดิเอ็กซ์เพรซรายงาน
ตะโกนข่าวกันไปกันมา พระพลานามัยของเจ้าหญิงเคททรุดหนักหรือไม่ * เจ้าหญิงเคททรงอยู่ที่ไหน * พระรูปของพระองค์ที่ทรงอยู่ในรถกับพระมารดาใกล้พระราชวังวินด์เซอร์ ที่แท้คือภาพน้องปิปปา มิดเดิลตัน ของเจ้าหญิงเคท มิใช่หรือ * พระรูปวันแม่ ก็ไม่ได้เป็นอะไรที่กดชัตเตอร์มาสดๆ ใหม่ๆ เพราะเจ้าหญิงเคทยังไม่สามารถจะลุกขึ้นมาทำพระกรณียกิจได้ ใช่หรือไม่ * สุภาพสตรีที่นั่งข้างเจ้าฟ้าชายวิลเลียมในพระราชยานยนต์หลวง จะเป็นเจ้าหญิงเคทได้อย่างไร * ดรามาแห่งพระพลานามัยน่าจะเป็นเพียงแค่การกลบเกลื่อนปิดบังสถานการณ์แท้จริงของพระองค์ แน่เชียว * ฯลฯ
ก็ว้าวุ่น ครุ่นคิด วิเคราะห์ มากมายกันปานนี้ พื้นที่สำหรับข่าวเด่นข่าวเร้าใจทั้งปวงจึงเต็มไปด้วย 3 หัวข้อของพระครอบครัวปรินซ์วิลเลียม-ปรินเซสแคเธอรินโดยตลอดตั้งแต่เดือนก.พ. อันได้แก่ ดรามาข่าวลือเรื่องเตียงหักระหว่างปรินเซสกับปรินซ์ ที่ลือว่าปรินซ์ทรงมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับสตรีท่านหนึ่งซึ่งอาจไปถึงการตั้งครรภ์แล้ว; เรื่องพระกรณียกิจที่ปรินซ์ทรงเปี่ยมเสน่ห์; และดรามาพระพลานามัยเจ้าหญิงเคท ซึ่งยกระดับสู่จุดพีคด้วยวิกฤต Photogate เมื่อวันที่ 10 ถึง 12 มี.ค. 2024
ไม่ว่าสถานการณ์เหล่านี้จะมีที่มาที่ไปอะไรบ้าง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ คือ การดับพลังคึกคักแห่งการโหมข่าวของ ดัชเชสเมแกน กับดยุกแฮร์รีแห่งซัสเซกซ์ ที่หวังจะ “รีแบรนด์” ยี่ห้อซัสเซกซ์ เพื่อให้ชาวเมืองผู้ดีลืมเลือนอดีตเจ็บแสบแบบมีตุ่มคัน และเลิกชิงชังตัวตนแท้จริงของพระองค์
ดัชเชส&ดยุกรีบเร่ง “รีแบรนด์” ยี่ห้อซัสเซกซ์ สาเหตุและความเป็นมาของเรื่องนี้ปรากฏร่องรอยตั้งแต่เดือนธ.ค. 2023 ว่าทรงมีผลประกอบการล้มเหลวสาหัส คงต้องตัดสินพระทัยหวนกลับอังกฤษในไม่ช้า
ในอันที่จะรีบเร่ง “รีแบรนด์” กันจริงๆ จังๆ ดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ พระชายาของปรินซ์แฮร์รีออกโรงทำกิจกรรม “ดัชเชสใจบุญ” ส่งเสริมสังคมช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากในวันที่ 10 ก.พ. 2024 อันได้แก่ การส่งเสริมให้สตรีอัฟกันที่ลี้ภัยออกจากประเทศอัฟกานิสถาน ได้ปรับตัวเข้ากับชุมชนอเมริกัน ขณะที่เริ่มสร้างชีวิตใหม่ในสหรัฐอเมริกา
กิจกรรมดังกล่าวคือร่วมทำอาหารพื้นเมืองกับกลุ่มสตรีอัฟกัน 15 คน เพื่อให้กิจกรรมนี้ได้เป็นข่าวออกไป และส่งผลให้เรื่องราวการลี้ภัยมาพึ่งพิงสหรัฐฯ ได้เป็นที่รับทราบของผู้คน โดยกิจกรรมนี้เป็นอีเวนต์ที่มูลนิธิอาร์ชแวลล์ของดัชเชสและปรินซ์ เข้าร่วมกับองค์การมินาส์ลิสต์ ช่วยเหลือสตรีอัฟกันลี้ภัยรัฐบาลตอลีบาน ให้มาเริ่มต้นชีวิตในสหรัฐฯ ภายใต้ “โครงการต้อนรับสู่แคลิฟอร์เนียใต้”
อย่างไรก็ตาม เมื่อมูลนิธิอาร์ชแวลล์ประสานให้เรื่องราวนี้ได้เป็นข่าวในบรรดาสื่อมวลชนค่ายใหญ่ยักษ์ของอังกฤษ เช่น เดลิเมลออนไลน์ คอมเมนต์ในทางลบก็หลั่งไหลเข้าไปหลายร้อยเมนต์ เช่น ติเตียนว่าดัชเชสจัดกิจกรรมโหนกระแสสตรีอัฟกัน เพื่อจะได้โปรโมทตนเองให้เป็นข่าว และมากมายเลยที่เตือนว่าเธอต้องกลับไปดูแลคุณพ่อบังเกิดเกล้าสักครั้งก่อนคุณพ่อจะสิ้นบุญเถิด
ขณะที่ฝ่ายต่างๆ ชัดเจนกันแล้วว่าดยุกและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ จะเอาจริงกับการกลับสู่อังกฤษ ได้มีการชี้ร่องรอยว่า แรงขับเคลื่อนและแรงบันดาลใจในเรื่องนี้ มีความเป็นมาตั้งแต่ที่ปรากฏเป็นข่าวว่าทั้งสองพระองค์มีปัญหารายจ่ายสูงเกินรายรับ และถูกแปะป้ายไว้ตั้งแต่ปลายปี 2023 ว่าเป็นคู่ที่มีผลประกอบการล้มเหลวอย่างมโหฬารยิ่งกว่าใคร
โดยเดอะฮอลลีวูด รีพอร์เตอร์ สื่อบันเทิงอเมริกันค่ายยักษ์ผู้ทรงอิทธิพลสุดๆ ประกาศในเดือนธ.ค. 2023 ว่าตามการจัดอันดับความสำเร็จและความล้มเหลวประจำปี 2023 นั้น เจ้าชายแฮร์รีและดัชเชสเมแกนเป็นคู่ที่มีผลประกอบการล้มเหลวอย่างมโหฬารยิ่งกว่าใคร คือ เป็นอันดับ 1 ในด้านความล้มเหลวสูงสุดประจำปี 2023
ทั้งนี้ เป็นผลสืบเนื่องจากดีลธุรกิจพอดแคสต์หลายสิบล้านดอลลาร์ ที่มีอยู่กับค่ายสปอติฟาย จอมยักษ์สตรีมมิงดนตรีและวิดีโอ ถูกยกเลิกเมื่อมิ.ย. 2023 หนำซ้ำ หนังสือบันทึกความทรงจำเรื่อง SPARE ซึ่งอวดโม้มากมายว่าขายดีเหลือเกิน น่าจะสร้างยอดรายรับจากการขายจะเข้าสู่ครอบครัวสักไม่มาก ในเมื่อมีการโหมซูเปอร์โปรโมชัน ลดราคา 50% ก่อนหนังสือวางแผง และเมื่อวางแผงแล้ว หลายๆ ร้านหนังสือรายใหญ่ก็จัดกิจกรรมลดเลือดสาด 30-50% กันเลยทีเดียว
นอกจากนั้น ยังประสบความล้มเหลวในผลงานสำคัญอีกรายการหนึ่ง คือ ซีรีส์สารคดีเน็ตฟลิกซ์ 6 เอพพิโซด เรื่อง แฮร์รีและเมแกน กล่าวคือ ไม่สามารถแม้แต่จะติดอันดับ 200 เรื่องที่ถูกสตรีมมากที่สุดบนเน็ตฟลิกซ์ โดยทำอันดับได้แค่ที่ 211 เท่านั้น เดลิเมลออนไลน์รายงาน
พร้อมนี้ เดอะฮอลลีวูด รีพอร์ตเตอร์ ระบุเลยว่าสำนักมอนเตซิโต “ล้มเหลวที่จะเอาสถานภาพเซเลบริตีมาสร้างรายได้ในสหรัฐอเมริกา” นับจากที่ทรงย้ายถิ่นฐานมาปักหลักในลอสแอนเจลิส
ในเวลาเดียวกัน มูลนิธิอาร์ชแวลล์ของทั้งสองพระองค์ก็ล้มเหลวมหาศาล โดยปิดท้ายปี 2023 ด้วยผลดำเนินงานปี 2022 ติดลบ
ด้วยเหตุนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านการพระราชวงศ์ของบรรดาสื่อค่ายใหญ่ยักษ์พากันจับตาว่า ดยุกแฮร์รีและดัชเชสเมแกนจะตัดสินพระทัยหวนกลับพระราชวังเมื่อใด
ดยุกแห่งซัสเซกซ์ทรงขวนขวายจะกลับคืนสู่พระราชวัง เพราะ “ทุกสิ่งที่ทรงดำเนินการล้วนล้มเหลว” แอนเจลา เลเวิน สุดยอดผู้เชี่ยวชาญการพระราชวงศ์หมวดเจ้าชายแฮร์รี วิเคราะห์ไว้ในรายการคุยข่าว จีบีนิวส์ เมื่อช่วงสัปดาห์ที่สองของเดือนธ.ค. 2023
ปรินซ์แฮร์รีได้โอกาสเข้าถึงพระราชบิดา และประกาศออกโทรทัศน์ว่า จะกลับอังกฤษบ่อยๆ เพื่อช่วยเหลือพระราชกรณียกิจในช่วงที่คิงชาร์ลส์ทรงรับการบำบัดรักษาโรคมะเร็ง
ร่องรอยที่สองและสำคัญยิ่งที่ขับเคลื่อนให้ปรินซ์แฮร์รีและดัชเชสเมแกน เอาจริงกับการกลับสู่อังกฤษ ได้ปรากฏขึ้นในวันที่ 5-6 ก.พ. 2024 เมื่อปรินซ์ทรงมีโอกาสเข้าถึงสมเด็จพระราชบิดา หลังจากที่ได้พยายามหลายครั้งในครึ่งหลังของปี 2023 แต่ล้มเหลว เพราะ คิงชาร์ลส์ ผู้ทรงเป็นพระราชบิดา จะทรงมีข้าราชบริพารคอยรับโทรศัพท์แทนพระองค์ แล้วพระองค์จะพิจารณาว่าจะติดต่อกลับไปหรือไม่ แต่คราวนี้ คิงทรงเป็นฝ่ายที่โทรศัพท์ไปถึงพระราชโอรสแฮร์รี เพื่อแจ้งข่าวว่าพระองค์ทรงพระประชวรด้วยโรคมะเร็ง
เดลิเมลออนไลน์รายงานว่าปรินซ์แฮร์รีทรงเป็นห่วงในพระพลานามัยของเสด็จพระราชบิดา และจึงออกเดินทางไปกรุงลอนดอนในวันจันทร์ที่ 5 ก.พ. พร้อมด้วยทีมอารักขาจำนวนหนึ่ง และเสด็จถึงท่าอากาศยานฮีทโธรว์ในวันอังคารที่ 6 ก.พ. โดยหวังว่าจะตามไปดูแลพระราชบิดาที่พระตำหนักแซนดริงแฮมสักสองสามวัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อไปถึง ปรินซ์ทรงได้รับแจ้งว่าให้เข้าเฝ้าเสด็จพระราชบิดาที่พระตำหนักแคลเรนซ์ เฮาส์ โดยได้สนทนากับพระราชบิดาเป็นเวลา 30 นาที แหล่งข่าววงในพระราชสำนักให้ข้อมูลไว้กับเดอะซันออนซันเดย์อย่างนั้น
พร้อมบอกด้วยว่าคณะข้าราชบริพารเกรงว่า หากปรินซ์แฮร์รีไปเข้าเฝ้าที่แซนดริงแฮม ปรินซ์ก็อาจไม่ยอมกลับไปง่ายๆ จนกว่าจะได้รับสิ่งที่ตั้งเป้าหมายไว้ก่อนจะทรงบิน 5,000 ไมล์ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกมายังพระตำหนักแคลเรนซ์ เฮาส์ ซึ่งนั่นจะกระทบกระเทือนการพักผ่อนและดูแลพระพลานามัยของคิงชาร์ลส์
สำหรับเรื่องสถานที่ประทับค้างแรม คิงชาร์ลส์ทรงโปรดให้ข้าราชบริพารเปิดห้องพักโรงแรมเกรดเยี่ยมให้แก่พระราชโอรส
ทันทีที่เสร็จสิ้นการสนทนากับปรินซ์แฮร์รี คิงชาร์ลส์พร้อมด้วยควีนคามิลลาทรงเสด็จขึ้นพระราชยานเฮลิคอปเตอร์ และเดินทางไปยังพระตำหนักแซนดริงแฮม ซึ่งห่างกรุงลอนดอนไปทางเหนือประมาณ 180 กิโลเมตร
เดลิเมลออนไลน์ชี้นัยแห่งรูปการณ์เหล่านี้ว่า ปรินซ์แฮร์รีทรงกลายเป็นคนนอกแล้ว
ทั้งนี้ เมื่อ 3 เดือนก่อนหน้า หรือก็คือเดือนพ.ย. 2023 ปรินซ์แฮร์รีกับดัชเชสเมแกนได้ทำการป่วนเดือนแห่งการเฉลิมพระชนมพรรษาของคิงชาร์ลส์ และในเดือนเดียวกันหลังจากนั้น หนังสือโจมตีสมาชิกพระราชวงศ์อังกฤษเรื่อง Endgame ที่ประพันธ์โดย โอมิด สโคบี นักเขียนและสหายสนิทของดัชเชสเมแกน ออกสู่ท้องตลาด และในหนังสือเวอร์ชันภาษาดัตช์ มีการเปิดเผยว่าคิงชาร์ลส์คือผู้ที่ดัชเชสเมแกนกล่าวถึงตอนที่ดัชเชสให้สัมภาษณ์แก่โอปราห์ วินฟรีย์ และบิดเบือนว่ามีพระราชวงศ์ผู้ใหญ่พูดว่าพระโอรสในครรภ์ของเธอจะเกิดมาตัวดำแค่ไหน
กระนั้นก็ตาม ปรินซ์แฮร์รีไม่ได้รู้สึกว่าพระองค์เป็นคนนอก หนำซ้ำยังออกจะเปี่ยมด้วยความหวังในเยื่อใยที่พระราชบิดาทรงมีพระทัยให้
ในสัปดาห์ต่อมา ขณะเสด็จไปเมืองวิสต์เลอร์ ประเทศแคนาดา ช่วงวันที่ 15-17 ก.พ. 2024 เพื่อเยี่ยมชมสถานฝึกฝนเทรนนิ่งนักกีฬาที่จะเข้าร่วมมหกรรมกีฬาอินวิคตัสเกมส์ ปี 2025 ปรินซ์ทรงให้สัมภาษณ์พิเศษแก่รายการกู๊ดมอร์นิงอเมริกา และคลิปนี้ไปออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เครือข่ายเอบีซีนิวส์ในวันเสาร์ที่ 16 ก.พ. 2024
โดยปรินซ์แฮร์รีพูดถึงพระราชบิดาอย่างยกย่องให้เกียรติสุดๆ เป็นหนังคนละม้วนกับปรินซ์สุดเกรียนผู้เป็นพระราชโอรสที่เคยจาบจ้วงและทำร้ายพระเกียรติยศของพระราชบิดา ตลอดจนพระราชตระกูลวินด์เซอร์ มาโดยตลอด 5 ปีนับจากที่ทรงลาออกจากความเป็นสมาชิกพระราชวงศ์ทรงงานของพระราชสำนักบัคกิงแฮม
ถ้อยคำหวานหูของปรินซ์แฮร์รีบอกว่า ทรงหวังเป็นอย่างยิ่งที่ความป่วยไข้ของพระราชบิดาจะส่งผลเป็นการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวในพระราชตระกูล และกล่าวด้วยว่าทรงรักพระราชตระกูล และทรงรู้สึกขอบพระทัยพระราชบิดาที่โปรดให้เข้าเฝ้า เดลิเมลออนไลน์รายงาน และบอกด้วยว่า
ปรินซ์แฮร์รีบอกไว้เลยว่าทรงมีหมายกำหนดการพระภารกิจในประเทศอังกฤษอีกหลายทริป
โดยพระองค์จะพยายาม “แวะไปเยี่ยมเยือนพบปะกับพระราชตระกูลให้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถ” เดลิเมลออนไลน์รายงาน ยิ่งกว่านั้น เดลิเมลออนไลน์ยังรายงานด้วยว่า
หลังจากที่ปรินซ์แฮร์รีทรงไปอังกฤษในรอบนี้ มีข่าวลือผุดมากมายว่าพระองค์ลั่นวาจาไว้กับพระสหายทั้งปวงว่า จะกลับมาอังกฤษเพื่อช่วยเหลือพระกรณียกิจต่างๆ ในห้วงที่คิงชาร์ล์ทรงรับการบำบัดรักษาโรคมะเร็ง
โดยจะ “เต็มพระทัย” ที่จะ “รับบทบาทพระราชวงศ์แบบชั่วคราว” ซึ่งนี่เคยเป็นประเด็นขัดแย้งร้อนแรงแต่ดั้งเดิมที่ปรินซ์ทรงเคยกราบทูลขอพระบรมราชานุญาตจากสมเด็จพระอัยยิกาเจ้า แต่ไม่ได้รับ โดยที่ว่าสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงมีพระราชดำรัสเตือนสติไปว่า เจ้าต้องทำงานรับใช้สถาบันกษัตริย์ มิใช่จะให้สถาบันกษัตริย์รับใช้เจ้า ในที่สุดเรื่องนี้ยุติด้วยข้อสรุปว่าปรินซ์แฮร์รีต้องเลือกทางใดทางหนึ่งเท่านั้น และปรินซ์ก็เลือกการลาออกไปตั้งต้นชีวิตใหม่ แต่ประกาศว่าพระองค์และดัชเชสเมแกนต้องการบินออกไปจากข้อจำกัดทั้งปวง
ดังนั้น ในเที่ยวนี้ ปรินซ์จึงทรงตั้งหวังว่าการทูลขอจากพระราชบิดาอาจจะประสบความสำเร็จ
ด้วยเหตุนี้ หลังจากเสด็จกลับสหรัฐฯ ในวันที่ 7 ก.พ. การรณรงค์เพื่อรีแบรนด์ภาพลักษณ์แห่งดยุกและดัชเชสออฟซัสเซกซ์ ในความตั้งหวังที่จะลดกระแสต่อต้านในหมู่พสกนิกร จึงเริ่มขึ้นจากการปล่อยข่าวไปในแวดวงพระสหาย พร้อมกับสร้างกิจกรรมแบบที่จัดง่าย ด้วยการประสานงานกันไวๆ เนื้อหามีเพียงสั้นๆ เน้นภาพน่ารักอบอุ่นที่ทีมพีอาร์ในสหรัฐฯ สามารถส่งไปให้สื่อมวลชนอังกฤษ ได้แก่
ในวันที่ 10 ก.พ. ดัชเชสเมแกนหวนกลับไปจับงานกิจกรรมส่งเสริมสังคม ให้กำลังใจแก่สตรีอัฟกันที่ลี้ภัยรัฐบาลตอลีบานจนกระทั่งได้สถานภาพผู้ลี้ภัยที่สหรัฐฯ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย
ลำดับต่อมา คือวันที่ 15-17 ก.พ. เป็นการไปเยี่ยมชมสถานฝึกฝนเทรนนิ่งนักกีฬาที่จะเข้าร่วมมหกรรมกีฬาอินวิคตัสเกมส์ ปี 2025 โดยปรินซ์แฮร์รีทรงให้สัมภาษณ์พิเศษแก่รายการกู๊ดมอร์นิงอเมริกา บอกกล่าวกันไปทั่วโลกว่า จะทรงกลับไปเป็นพระราชวงศ์ทรงงาน เพื่อช่วยแบ่งเบาพระราชกิจของกษัตริย์ชาร์ลส์
ต่อด้วยอีเวนต์ดัชเชสใจบุญสุนทาน ในวันที่ 21 ก.พ. โดยเป็นอีเวนต์ที่อิงอยู่กับองค์การเมย์ฮิวช่วยเหลือน้องแมวน้องหมาตกทุกข์ได้ยาก ซึ่งดัชเชสเคยบริจาคเงินให้ในเดือน ม.ค. 2022 เพื่อสนับสนุนการสร้างอาคารส่วนขยาย และจึงผุดกิจกรรมอบอุ่นน่ารัก คือ เปิดป้ายชื่ออาคารส่วนขยายนี้ พร้อมกับเปิดคลิปวิดีโอแสดงความยินดีจากดัชเชสเมแกน
พร้อมกับกิจกรรมรีแบรนด์เหล่านี้ ก็มีการจ้างกูรูด้านพีอาร์ระดับสุดยอดฝีมือมาช่วยสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้แก่ดัชเชสเมแกน
จ้างบริษัทพีอาร์จอมเทพมาโปรโมทให้ผู้คนในอังกฤษจดจำพระองค์ในภาพลักษณ์ใหม่ แต่เซียนพีอาร์เมืองผู้ดีย้ำ โอกาสสำเร็จมีไม่มาก และเหมือน “แซนด์วิชป้ายอึ” ที่ยากจะหาใครรับไปดำเนินการ
หลังจากเปิดตัวซอฟต์ๆ ด้วยการกลับไปทำกิจกรรมส่งเสริมสังคมในวันที่ 10 ก.พ. ในสหรัฐฯ ได้มีการเปิดตัวดัชเชสเมแกนในภาพลักษณ์ใหม่ภายในประเทศอังกฤษ โดยเกิดขึ้นอย่างเซอร์ไพรซ์เมื่อวันพุธที่ 21 ก.พ. ซึ่งทำให้พสกนิกรของคิงชาร์ลส์ประหลาดใจ ไม่คิดว่าพระสุณิสาของสมเด็จพระมหากษัตริย์ (ผู้ที่ถูกเธอและพระสวามีถล่มทำลายชื่อเสียงด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จซ้ำๆ ซากๆ) จะอยากมาเกี่ยวข้องกับแผ่นดินแห่งอารยธรรมนี้ แม้เธอจะมาในรูปแบบคลิปวิดีโอก็ตาม
โดยดัชเชสแห่งซัสเซกซ์เลือกเอาองค์การเมย์ฮิวซึ่งช่วยเหลือสัตว์เลี้ยงถูกทอดทิ้งตกระกำลำบาก ให้เป็นช่องทางต่อสายสัมพันธ์กับประเทศอังกฤษ
ทั้งนี้ ดัชเชสเคยบริจาคเงินสนับสนุนการสร้างอาคารส่วนขยายของสถานที่ทำการองค์การเมย์ฮิว ผ่านมูลนิธิอาร์ชแวลล์ ตั้งแต่เมื่อม.ค. 2022 เนื่องจากผู้บริหารองค์การเป็นซี้สนิทของเธอตั้งแต่ที่เธอยังมิได้ลาออกจากการปฏิบัติพระกรณียกิจในฐานะพระราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ และตัวเธอซึ่งยังครองพระยศพระองค์เจ้า เป็นองค์อุปถัมภ์องค์การน่ารักแห่งนี้ เดลิเมลออนไลน์เล่าไว้
ดังนั้น เธอจึงส่งคลิปจากสหรัฐฯ ไปแสดงความยินดีในพิธีเปิดป้ายอาคารส่วนขยาย ซึ่งตั้งชื่อตามผู้ก่อตั้งเมย์ฮิว คือ ออลลี จูสเต ที่ล่วงลับไปอย่างกะทันหันในเดือนม.ค. 2022
ความเคลื่อนไหวนี้ได้กลายเป็นสัญญาณแจ้งทราบเป็นการเบื้องต้น ไปถึงสาธารณชนชาวเมืองผู้ดีว่า เธอและดยุกแห่งซัสเซกซ์พร้อมแล้วที่จะกลับสู่ประเทศอังกฤษ แม้นั่นหมายถึงว่าจะต้องยอมกลืนน้ำลายที่เคยฟ้องชาวโลกไว้ในซีรีส์สารคดี “Harry and Meghan” ว่าไม่สามารถอยู่ในอังกฤษได้แล้ว ต้องย้ายออกไปให้พ้นโดยเร็วที่สุด ไปแสวงหาเสรีภาพให้ชีวิต
หลังจากนั้น ยังมีอีก 3 กิจกรรมเพื่อการเปิดตัวภาพลักษณ์ใหม่ของดัชเชสเมแกน ทั้งในมิติของนักส่งเสริมสังคม นักฮีลใจผู้ได้รับความเดือดร้อนจากวิกฤติทางการเมืองและสังคม และนักสิทธิสตรี ก่อนจะเบรกกึกในช่วงวันที่ 11-14 มี.ค. เพราะกระแสข่าวดรามาพระพลานามัยเจ้าหญิงเคทพุ่งกระฉูดฮอตอย่างยิ่ง
พร้อมกันนั้น มีข่าวลือปรากฏหนาหูมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าดัชเชสเมแกนได้ทำสัญญาจ้างกูรูจอมเทพด้านการโฆษณาประชาสัมพันธ์ในอังกฤษ ให้มาช่วยแก้ไขปัญหาความป๊อปปูลาร์เสื่อมถอยเรื้อรัง อีกทั้งยังให้ช่วยโปรโมทธุรกิจใหม่ที่เธอจะเปิดตัวในปี 2024นี้ โดยตั้งเป้าจะให้ช่วยสนับสนุนให้ประชาชนยอมรับและชื่นชม อีกทั้งจะมอบหมายให้ช่วยเสริมแกร่งภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือของมูลนิธิอาร์ชแวลล์ ของเธอและเจ้าชายแฮร์รีด้วย เดลิเมลออนไลน์รายงานอย่างละเอียด
แม้จะยังไม่เปิดเผยชื่อบริษัทพีอาร์ดังกล่าว แต่ก็เห็นได้ว่าผลงานเข้าเป้า โดยพาให้ข่าวความเคลื่อนไหวของดัชเชสเมแกนปรากฏบนพื้นที่สื่อมวลชนอังกฤษอย่างคึกคักผิดปกติกว่าเมื่อหลายๆ เดือนที่ผ่านมา โดยเห็นชัดตลอดตั้งแต่ก.พ.จดจนสิบวันแรกของมี.ค. 2024 ไม่ว่าจะเป็นข่าวแนวตอกย้ำภาพลักษณ์นักส่งเสริมสังคม นักฮีลใจผู้ได้รับความเดือดร้อนจากวิกฤติทางการเมืองและสังคม นักสิทธิสตรี ฯลฯ ซึ่งแทบไม่ได้เห็นเลยในปี 2023 อีกทั้งข่าวแนวอวยความสวยเก๋น่าตื่นตะลึงของเสื้อผ้าหน้าผมของดัชเชส
ด้านผู้เชี่ยวชาญรายใหญ่ชื่อเสียงโด่งดังในแวดวงโฆษณาประชาสัมพันธ์ของประเทศอังกฤษ ให้ความเห็นว่าความสำเร็จที่ลูกค้าไฮโซนามดัชเชสเมแกนและปรินซ์แฮร์รี ได้ตั้งเป้าปรารถนานั้น มีความเป็นไปได้ไม่มาก
ในประการแรก เป็นเพราะทั้งสองขึ้นชื่ออื้อฉาวทีเดียวในเรื่องที่ทรงไม่ค่อยจะยอมฟังคำแนะนำที่ไม่ถูกหูถูกใจ เดลิเมลออนไลน์เล่าไว้อย่างนั้น
ทั้งนี้ คนดังของวงการพีอาร์อังกฤษเปิดเผยกับเดลิเมลออนไลน์ว่า ภารกิจทั้งหลายนั้น “ละม้ายกับแซนด์วิชป้ายอึ ซึ่งผู้หลักผู้ใหญ่มากมายในวงการล้วนแต่ไม่เต็มใจที่จะรับประทาน” และจะไม่รับมาดำเนินการ
ส่วนในประการที่สอง คือ ยังมีปัญหาเกินคณานับที่พระสุณิสาและพระโอรสของคิงชาร์ลส์ สร้างสมไว้และส่งผลเป็นการบั่นทอนให้คะแนนนิยมเสื่อมถอยสู่สถานการณ์ตกต่ำร้ายกาจทึ่สุดในรอบ 5 ปี อุปสรรคในมิตินี้เป็นอะไรที่ยากจะขับเคลื่อน
ตัวอย่างที่ยังจดจำกันได้ดีคือ เมื่อม.ค.ปีที่แล้ว (2023) หรือหนึ่งปีเศษที่ผ่านมา หนังสืออัตชีวประวัติของเจ้าชายแฮร์รี ชื่อเรื่องว่า Spare ตัวสำรอง เต็มไปด้วยเนื้อหาโจมตีป้ายสีพระราชตระกูลวินด์เซอร์อย่างเลื่อนลอย ซึ่งเป็นพระพฤติกรรมที่ซ้ำซาก ทำลายความน่าเชื่อถือของพระองค์เอง อีกทั้งยังดูไม่สง่างามที่พระราชโอรสคอยเฝ้าแต่จะประณามว่าร้ายพระราชบิดาและพระราชตระกูล ดังนั้น ความน่านิยมของปรินซ์แฮร์รีและพระชายาเมแกนจึงเสื่อมถอยทั้งในสหรัฐอเมริกาและในสหราชอาณาจักร
ในเวลาใกล้ๆ กัน หนังซีรีส์สารคดีเรื่อง Harry and Meghan ที่พระชายาเมแกนผลิตป้อนให้แก่เน็ตฟลิกซ์ ก็ทำยอดรายได้ไม่แรงดั่งที่วางเป้าหมายไว้ หนำซ้ำยังได้รับการวิจารณ์ในทางลบเป็นส่วนใหญ่
ยิ่งเมื่อข้อตกลงธุรกิจพอดแคสท์ที่ดัชเชสเมแกนมีอยู่กับ สปอติฟาย ยักษ์ใหญ่ค่ายสตรีมมิงเพลงและพอดแคสท์ มาถูกสปอติฟายเททิ้งในเดือนมิ.ย. 2023 ทั้งสองเสียหน้าอย่างร้ายแรง พร้อมกับถูกมองเป็นผู้ล้มเหลวพ่ายแพ้ เป็นเจ้าวินด์เซอร์ที่ตกพระกระป๋องเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากแผลงฤทธิ์ร้ายกาจจนกระทั่งพระราชตระกูลรู้สึกไม่ไหวจะเคลียร์ ขออยู่ห่างๆ เพื่อความปลอดภัย เพราะหวั่นว่าสิ่งที่ตรัสออกไปขณะสนทนากับปรินซ์แฮร์รี อาจถูกปรินซ์นำไปบิดเบือนเพื่อใช้เป็นคอนเทนต์ในการสร้างผลิตภัณฑ์ป้อนให้เน็ตฟลิกซ์ และสำนักพิมพ์เพนกวิน แรนดอม เฮาส์
นอกจากที่จะสูญเสียหัวโขนโก้หรูแห่งการเป็นพระสุณิสาและเจ้าชายพระราชโอรสแห่งกษัตริย์อังกฤษไปแล้ว ศักดิ์ศรีส่วนพระองค์ก็ยังถูกขยี้ ถูกเยาะเย้ยเสียดสีล้อเลียนอย่างต่อเนื่องจากหนังแอนิเมชัน South Park กับ Family Guy ซึ่งมีจำนวนผู้ชมมหาศาลหลายล้านวิวเวอร์
ดังนั้น ภาพลักษณ์และความป๊อปปูลาร์ในปัจจุบันของดัชเชสเมแกนและดยุกแฮร์รี จึงเข้าขั้นเน่าสนิทยากจะกอบกู้ ระดับที่ว่าถูกสาธารณชนดูหมิ่นเกลียดชังกันเลยทีเดียว
เดลิเมลออนไลน์รายงานเลยว่า พีอาร์ค่ายไหนก็ตามที่รับจ้างทำจ็อบ “รีแบรนด์” ยี่ห้อซัสเซกซ์ จะต้องเผชิญกับปัญหากองพูนท่วมศีรษะภายในประเทศบ้านเกิดของปรินซ์แฮร์รี นับตั้งแต่ที่ทรงให้สัมภาษณ์ในรายการโชว์ของโอปราห์ วินฟรีย์ จดจนถึงหนังสือป้ายสีพระราชวงศ์เรื่อง Endgame: Inside the Royal Family and the Monarchy’s Fight for Survival โดย โอมิด สโคบี นักเขียนแสนสนิทของดัชเชสเมแกน ที่ออกอาละวาดป่วนการฉลองพระราชเบิร์ธเดย์ของกษัตริย์ชาร์ลส์ เมื่อเดือนพ.ย. 2023 ซึ่งทำให้กระแสต่อต้านดยุกและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ ทวีความรุนแรงมหาศาลในท่ามกลางประชาชนคนอังกฤษ
ในการนี้ ผู้เชี่ยวชาญสรุป 5 ปัญหาโดดเด่นที่สุดที่บริษัทพีอาร์ของดยุกและดัชเชสต้องเร่งช่วยเหลือ ในอันที่จะฟื้นฟูชื่อเสียงและความนิยมขึ้นมาภายในแวดวงพสกนิกรเมืองผู้ดี ดังนี้
1.ปัญหาความสัมพันธ์แตกหักที่ร้าวลึกฉานระหว่างพระครอบครัวซัสเซกซ์ กับพระราชตระกูลอังกฤษโดยรวม ซึ่งอาจจะต้องพยายามเข้าหาและใช้เวลากับพระราชบิดาให้มากขึ้น ทั้งนี้ในส่วนของความสัมพันธ์กับพระเชษฐาวิลเลียมนั้น ต้องยอมรับว่าเกินกว่าจะเยียวยาได้ เพราะมีการเล่นวิชามารกล่าวร้ายใส่ความเจ้านายสายเวลส์ไว้อย่างชนิดที่ต้องเป็นคนซึ่งเกลียดกันไปชาติภพหน้าก็ไม่เลิกเกลียด ถึงจะรังแกกันขนาดนั้น
เอลเลอร์รี ทาคาโมโต ผู้ชำนาญการด้านพีอาร์บอกกับเดลิเมลออนไลน์ว่า “ถ้าเป็นกรณีทั่วๆ ไป ผมจะแนะนำให้เร่งสร้างกิจกรรมใหม่ๆ ที่สร้างสรรค์ อาทิ งานเชิงสังคมสงเคราะห์
“แต่สำหรับกรณีของดัชเชสและปรินซ์ ผมคิดว่าความเสียหายได้เกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน ทั้งสองพระองค์คงต้องใช้วิธีที่เชิงรุกและจริงจังมากกว่านั้น
“สาธารณชนต้องการเห็นปรินซ์แฮร์รีและดัชเชสเมแกนเข้าหาพระราชตระกูล และอาจจะรับปฏิบัติพระราชกิจแบ่งเบางานของคิงชาร์ลส์ ตลอดจนกลับมาอังกฤษ” เอลเลอร์รี ทาคาโมโต ให้ความเห็นไว้อย่างนั้น
ด้านซีอีโอแห่งมาเว่นส์แอนด์โมกุลส์ แนะนำว่า “ประชาชนจะให้ความเห็นอกเห็นใจมากขึ้น หากทั้งสองพระองค์ให้เวลาใกล้ชิดกับคิงชาร์ลส์”
2.ทั้งสองพระองค์จะต้องสร้างสัมพันธ์ขึ้นมาใหม่กับองค์กรกุศลในอังกฤษ ซึ่งขาดตอนไปหลังจากที่ทรงลาออกจากความเป็นพระราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ที่ช่วยปฏิบัติพระราชกิจของสำนักพระราชวัง
3.เนื่องจากมีปัญหาความป๊อปปูลาร์เสื่อมถอยรุนแรง พีอาร์ของดัชเชสเมแกนและปรินซ์แฮร์รีแนะนำว่าจะต้องทรงลดการออกสื่อ แล้วไปทุ่มเทกับงานสังคมสงเคราะห์มากขึ้น ทั้งนี้ คริส บลอนด์เดลล์ ผู้เชี่ยวชาญการพีอาร์ บอกว่าในเมื่อจะต้องบำบัดรักษาอิมเมจขึ้นมา ทั้งสองจะต้องก้มศีรษะลง อยู่ให้ห่างแสงแฟลช และเต็มที่กับงานสาธารณกุศล ลดชีวิตฟู่ฟ่าลงมา
4.บรรดามืออาชีพด้านพีอาร์ย้ำตรงกันว่า ต้องซ่อมแซมความสัมพันธ์กับสื่อมวลชนในอังกฤษ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ยากเพราะช่วงหลายปีนี้ สื่อมวลชนทั้งน้อยและใหญ่ต่างประสบปัญหารายได้ และอันที่จริง ได้มีความก้าวหน้าในเรื่องนี้ปรากฏให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ
5.ต้องเร่งซ่อมแซมความสัมพันธ์อันดีกับกระทรวงมหาดไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่ปรินซ์แฮร์รีทรงโรมรันฟ้องร้องดำเนินคดีกระทรวงมหาดไทย ในเรื่องตัดสิทธิ์ไม่ให้พระองค์ได้รับความคุ้มครองด้านทีมรักษาความปลอดภัยของตำรวจ
ปัญหาทั้ง 5 มิติ และคำแนะนำเบื้องต้นทั้งปวงนี้ บริษัทพีอาร์ที่ดยุกและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ใช้บริการอยู่ในสหรัฐอเมริกา น่าจะเคยนำเสนอให้พิจารณามานานแล้ว และทั้งสองพระองค์ก็รับไปดำเนินการและปรากฏเป็นข่าวไม่น้อยกว่า 3 เรื่อง อาทิ
=การพยายามเข้าถึงพระราชบิดาและสมาชิกพระราชวงศ์
=การเร่งสร้างชื่อเสียงด้านสาธารณกุศลและส่งเสริมสังคม
=การซ่อมแซมความสัมพันธ์กับสื่อมวลชนในอังกฤษ
แต่ในส่วนของการก้มศีรษะลง อยู่ให้ห่างแสงแฟลช ลดชีวิตฟู่ฟ่า เพื่อให้สาธารณชนคนอังกฤษใจอ่อนลงมาว่า ทั้งสองพระองค์มีความจริงใจจะปรับปรุงวิถีชีวิตโดยไม่ได้มุ่งหวังผลประโยชน์ส่วนตัวนั้น เห็นได้ชัดว่าทั้งดัชเชสเมแกนและปรินซ์แฮร์รีทรงไม่รับซื้อคำแนะนำ
‘เมแกน’ สร้างข่าวกิจกรรมส่งเสริมสังคม ออกมาสร้างภาพลักษณ์ใหม่ ให้เป็นข่าวครึกโครม ผลคือเจอคอมเมนต์ด้านลบหลายพันเมนต์ รวมทั้งเมนต์เตือนถึงความไร้น้ำใจต่อบิดาบังเกิดเกล้า
แม้ปริมาณข่าวของดัชเชสเมแกนบนสื่อมวลชน จะปรากฏอย่างมากมายและอื้ออึงตลอดตั้งแต่ก.พ. จดจนครึ่งแรกของมี.ค. 2024 ซึ่งล้วนแต่นำเสนอภาพลักษณ์ดีงามว่าเป็นนักเสริมสร้างสังคม นักฮีลใจผู้ได้รับความเดือดร้อนจากวิกฤติทางการเมืองและสังคม นักสิทธิสตรี แต่มิติที่ฮอตกว่ากันมากมาย ไปปรากฏในด้านคอมเมนต์ซึ่งครึกโครมในทางลบ โดยหลั่งไหลเข้าไปข่าวละหลายพันเมนต์
เช่น ติเตียนว่าจัดกิจกรรมโหนกระแสสตรีอัฟกัน เพื่อจะได้โปรโมทตนเองให้เป็นข่าว และมากมายเลยที่เตือนว่าเธอต้องกลับไปดูแลคุณพ่อบังเกิดเกล้าซะทีเถิด หลังจาก 5 ปีแล้วที่ตัดขาดคุณพ่อ นับจากช่วงไตรมาส 2/2018
นานา อากัว นักวิเคราะห์ข่าวคนดังของสถานีช่องจีบีนิวส์ เขียนเตือนสติในเรื่องราวของดัชเชสคนดังว่า
“ดัชเชสเมแกนเข้าหาสื่อมวลชน เมื่อสื่อสามารถทำประโยชน์ให้แก่เธอ
“เธอประกาศเรียกร้องให้ช่วยกันแก้ปัญหาโลกร้อน แต่เธอก็เพิ่มปัญหาโลกร้อนเสียเอง เธอเดินทางด้วยเครื่องบินเจ็ตแบบเช่าเหมาลำเสมอ
“มันเป็นความไร้หัวใจ เมื่อเธอไปให้สัมภาษณ์แก่โอปราห์ วินฟรีย์ และกล่าวร้ายพระราชวงศ์ ในขณะที่เจ้าชายฟิลิป พระสวามีของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงประชวรหนัก รายการโชว์นี้ เป็นแบบอัดเทปล่วงหน้า เธอสามารถที่จะขอเลื่อนได้ แต่เธอเดินหน้าดำเนินการ
“มันเป็นความไร้หัวใจ ที่ไปเปิดประเด็นกล่าวหาว่าพระราชวงศ์อังกฤษเป็นพวกเหยียดผิว แต่อีกหลายปีต่อมา ก็กลับคำพูด บอกว่าไม่ได้กล่าวอย่างนั้น แต่สมเด็จพระราชินีนาถทรงเสียพระราชหฤทัยเพราะเรื่องนี้ไปแล้ว
“มันเป็นความไร้หัวใจ ที่ไม่ไปหาคุณพ่อเลย ทั้งที่คุณพ่อล้มป่วยอย่างหนัก และทั้งที่คุณพ่อคือผู้ที่เลี้ยงดู อุดหนุนจุนเจือ และช่วยเหลือให้เธอได้เติบใหญ่มาอย่างดี จนกระทั่งประสบความสำเร็จทางการศึกษาและการงาน
“คุณพ่อโทมัส มาร์เคิล ไม่เคยได้พบกับหลานตาเลย เพราะเธอโกรธคุณพ่อและไม่ยอมคืนดี
“ดัชเชสเมแกนและเจ้าชายแฮร์รีคร่ำครวญถึงชีวิตความเป็นอยู่และสุขภาพจิตของตนเอง แต่มืดบอดต่อความเสียหายที่ได้กระทำแก่ผู้อื่น
“ดิฉันเกรงว่าจะทำพีอาร์มากมายเพียงใด ก็ไม่สามารถสร้างภาพงดงามปกปิดพฤติกรรมแท้จริงได้”
โปรโมทภาพนักสิทธิสตรี: ‘เมแกน’ ขึ้นเวทีวันสตรีสากล เผยเคยถูกบูลลีออนไลน์สุดโหดขณะตั้งครรภ์ กูรูชี้ท้องแรกกรณีทำเจ้าหญิงเคทร้องไห้ & แยกกิจการซัสเซกซ์เป็นเอกเทศ อีกหนกล่าวหาราชวงศ์เหยียดผิว
เมแกน มาร์เคิล พระชายาของเจ้าชายแฮร์รี ได้จอมกูรูด้านโฆษณาประชาสัมพันธ์มาช่วยทำรีแบรนด์ให้แก่ภาพลักษณ์ของเธอและพระสวามี เพื่อกอบกู้ให้ความป๊อปปูลาร์แห่งแบรนด์ซัสเซกซ์กระเตื้องกลับขึ้นมาภายในแวดวงมวลมหาชนคนอังกฤษ นักวิเคราะห์กิจการพระราชวงศ์คนดังแห่ง เดลิมิร์เรอร์ ฟันธงไว้เลย
การวิเคราะห์ประเมินดังกล่าวของ รัสเซลล์ ไมเออร์ส บรรณาธิการข่าวพระราชวังแห่งเดลิมิร์เรอร์ ปรากฏออกมาในท่ามกลางการโจษจันว่า ดัชเชสเมแกนได้ผู้เชี่ยวชาญมารับงานซึ่งสำนักการโฆษณาประชาสัมพันธ์ระดับเทพอื่นๆ มองว่ามันเป็นงานประเภทที่เทียบได้กับแซนด์วิชป้ายทาด้วยอึ เดอะเอ็กซ์เพรส รายงาน
โดย บ.ก.เมเยอร์ส บอกว่าปรินซ์แฮร์รีและเมแกนจำเป็นจะต้องทำพีอาร์ เพื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์แก้ไขให้แบรนด์ซัสเซกซ์กลับมาดูดีดั่งเดิม การรีแบรนด์นี้อาจจะช่วยได้หลังจากที่สถานการณ์ในภาพรวมของทั้งสองย่ำแย่ในหลายๆๆ เดือนที่ผ่านมา
“น่าสนใจนะครับที่เมแกนคิดว่าเธอจำเป็นจะต้องทำรีแบรนด์ เพราะเราก็ได้เห็นเธอขึ้นเวทีที่งานเทศกาล South by Southwest ในวันสตรีสากลเมื่อ 8 มี.ค.ที่ผ่านมา” เดอะเอ็กซ์เพรสรายงานการวิเคราะห์ของ บ.ก.เมเยอร์ส ที่ให้สัมภาษณ์ไว้กับสกายนิวส์ออสเตรเลีย
“ที่เวทีปราศรัยนั่น มีทั้งเคที คูริก มีทั้งบรูก ชิลส์ แล้วเมแกนก็เอ่ยถึงความสำเร็จเก่าๆ เมื่อหลายๆๆ ปีที่แล้วของเธอ คือกรณี พร็อกเตอร์แอนด์แกมเบิล ซึ่งผมคิดว่าสาธารณชนได้ฟังกันมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว แต่เมแกนต้องการบอกอะไร ผมคิดว่าเธอกำลังฟื้นภาพตนเองในฐานะนักต่อสู้เพื่อสิทธิสตรี
“เราได้เห็นเว็บไซต์ใหม่ของเมแกนกับปรินซ์แฮร์รีกันแล้วว่า ทั้งสองพยายามจะรีแบรนด์ตนเองขึ้นใหม่ให้กลับมาดูดี และไม่ต้องสงสัยเลยว่าชีวประวัติใหม่อันนั้นของเธอ เธอเขียนของเธอเอง นับเป็นช่วงชีวิตที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับเมแกนนะครับ
“แต่ผมก็ไม่คิดว่าเราจะได้เห็นเธอที่เกาะอังกฤษไม่ว่าจะด้วยโอกาสใดๆ ในเร็วๆ นี้”
เวทีแสดงวิสัยทัศน์ที่ดัชเชสเมแกนแห่งซัสเซกซ์เข้าร่วมในวันสตรีสากล เป็นส่วนหนึ่งของงานประชุมและเทศกาล South by Southwest Festival – SXSW ที่มุ่งส่งเสริมสนับสนุนนักสร้างสรรค์ โดยตั้งธงการปราศรัยว่า “การทลายสิ่งกีดขวางและท้าทายบรรทัดฐานเดิมๆ” ณ เมืองออสติน รัฐเทกซัส เมื่อศุกร์ที่ 8 มี.ค.
ทั้งนี้ มีประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องหลากหลาย เช่น สตรีและผู้ที่เป็นคุณแม่ถูกวางภาพลักษณ์ไว้อย่างไรในสื่อมวลชนและบนโซเชียลมีเดีย และคำถามเด็ดที่เมแกน มาร์เคิลได้รับจากผู้ดำเนินรายการ ซึ่งทำให้เธอถูกถล่มด้วยคอมเมนต์กว่าครึ่งหมื่น คือ “การรับมือกับสิ่งปนเปื้อนพิษร้ายที่แผ้วพานเข้ามาทางโซเชียลมีเดีย”
โดยพระชายาของปรินซ์แฮร์รียอมรับว่าได้ประสบมาแล้วแบบโหดๆ
ดัชเชสเมแกนแห่งซัสเซกซ์ เปิดเผยบนเวที SXSW ณ วันสตรีสากล โดยแสดงให้เห็นว่ายังหลอนยังเจ็บปวดอยู่ลึกๆ กับการที่เคยเจอคอมเมนต์แทงใจมามากมายผ่านทางโซเชียลมีเดีย โดยเธอบอกว่า ส่วนใหญ่มาในระหว่างที่เธอตั้งครรภ์ ซึ่งเธอชี้ว่าทำไมคนเราถึงมีความเกลียดชังได้อย่างเหลือเกิน ในเมื่อห้วงเวลาของการตั้งครรภ์หรือเป็นคุณแม่นั้น เป็นห้วงแห่งความอ่อนโยนและศักดิ์สิทธิ์ของลูกผู้หญิง ดิเอ็กซ์เพรสกับเดลิเมลออนไลน์รายงาน
ดัชเชสวัย 42 กะรัตผู้ซึ่งแก่กว่าพระสวามี 3 ปี กล่าวบนเวทีว่าในการใช้โซเชียลมีเดีย เธอได้ประสบกับการบูลลีอันมากมายไปด้วยความเกลียดชัง ซึ่งเธออ้างว่าส่วนใหญ่แล้วจะเกิดขึ้นในช่วงที่เธอตั้งครรภ์ ทั้งตอนที่ตั้งครรภ์เจ้าชายอาร์ชี กับช่วงที่ตั้งครรภ์เจ้าหญิงลิลีเบต เดลิเมลออนไลน์บอกอย่างนั้น
“ดิฉันอยู่ห่างๆ จากสิ่งนี้แล้วค่ะตอนนี้ เพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของตัวเอง แต่ส่วนใหญ่ของการรังแกและทำร้ายที่ประสบในโซเชียลมีเดียกับในโลกไซเบอร์ คือช่วงที่ดิฉันตั้งครรภ์น้องอาร์ชี กับน้องลิลี” เมแกน มาร์เคิล กล่าวบนเวทีอย่างนั้น
“ดิฉันนึกถึงเรื่องนี้ เอามือกุมขมับทำความเข้าใจว่า ทำไมคนเราถึงเกลียดชังได้อย่างเหลือเกิน มันไม่ได้เป็นแค่ตั้งใจทำร้ายจิตใจกันเท่านั้นนะคะ มันเป็นความโหดร้ายค่ะ ทำไมถึงทำอย่างนั้นในเมื่อคุณก็ตั้งครรภ์ หรือเมื่อคุณก็เป็นแม่คนหนึ่ง เวลาช่วงนั้นเป็นห้วงแห่งความอ่อนโยนและศักดิ์สิทธิ์ของลูกผู้หญิง”
เมแกน มาร์เคิล เปิดเผยด้วยว่า “คุณอาจจะยอมแพ้มัน หรือเกือบๆ จะยอมแพ้ต่อสภาพการณ์ที่ช่างเจ็บปวดเหลือเกิน หรืออาจจะเพราะดิฉันตั้งครรภ์ สัญชาตญาณของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจึงกระแทกเข้ามาให้ทำทุกสิ่งที่ทำได้ เพื่อจะปกป้องลูก และเพื่อส่งผลให้ปกป้องตัวเองด้วย” เดลิเมลออนไลน์รายงาน
‘เมแกน’ ยังถูกหลอนด้วยคอมเมนต์มหาศาลที่เผชิญ ขณะตั้งครรภ์แรก เพราะผู้คนช่วยกันเข้าไปติเตียนที่เธอรังแกดัชเชสเคทจนน้ำตาร่วง และที่เธอนำมาซึ่งความร้าวฉาวระหว่างพระเชษฐาวิลเลียม กับ พระอนุชาแฮร์รี
ผู้เชี่ยวชาญภาษาร่างกาย จูดี เจมส์ ให้ความเห็นแก่เดลิเอ็กซ์เพรส ยูเอส ว่าดัชเชสเมแกนยังมีอาการ “ถูกหลอน” ด้วยความทรงจำอันรวดร้าวลึกๆ ทั้งนี้ จูดี เจมส์ บอกว่า
“โดยที่มือของเมแกนแตะอกตนเอง เธอเล่าถึงตัวเองว่า ตอนที่อายุ 11 ปี และลงมือเขียนจดหมายทักท้วงบริษัทพีแอนด์จีให้แก้ไขโฆษณาที่ไม่เหยียดเพศต่อผู้หญิง แต่เธอถูกแย่งซีนเพราะบรูก ชีลส์แทรกเข้าไปว่า ‘ตอนอายุ 11 น่ะ ฉันเล่นหนังในบทโสเภณี’ ท่าทีของเมแกนออกมาเป็นรอยยิ้ม แต่เมื่อเมแกนหันหน้ากลับมา มีอาการบิดปากเล็กน้อยในอารมณ์ลังเลไม่มั่นใจว่าจะตอบความเห็นของบรูก ชีลส์ อย่างไรดี
“เมแกนยิ้มเศร้า เลิกคิ้ว หลับตาลงในลีลาที่บอกว่าเธอมีความทรงจำเลวร้ายอย่างยิ่ง แล้วเธอเว้นจังหวะการพูด เพื่อเลือกถ้อยคำอย่างระมัดระวัง แต่ดวงตาที่กระตุกบ่งบอกถึงความโกรธและเจ็บใจในห้วงลึกๆ ของความทรงจำ
“ตอนที่เมแกนบอกผู้คนซึ่งเข้าไปนั่งฟังว่า ‘ส่วนใหญ่ของถ้อยคำบูลลีเข้ามาในตอนที่ท้องน้องอาร์ชี กับตอนที่ท้องน้องลิลี’ นั้น เธอหรี่ตาลงไปในห้วงความคิด นั่นทำให้เห็นว่าเธอยังถูกความทรงจำหลอนให้เจ็บปวด การที่มือเธอแตะใบหน้าตนเองบ่งบอกถึงความหวั่นไหวอ่อนแอ” ดิเอ็กซ์เพรสรายงานการวิเคราะห์ของ จูดี เจมส์
ในการนี้ ซีเอ็นเอ็นให้ข้อมูลว่าดัชเชสเมแกนอุ้มท้องเจ้าชายอาร์ชี ในช่วงระหว่างก.ย. 2018 – พ.ค. 2019 และน้องอาร์ชีก็ประสูติเมื่อ 6 พ.ค. 2019 ส่วนเจ้าหญิงลิลีเบตอยู่ในครรภ์ของดัชเชสตั้งแต่ต.ค. 2020 – มิ.ย. 2021 แล้วประสูติเมื่อ 4 มิ.ย. 2021
ส่วนยูเอสแมกกาซีนให้ข้อมูลสภาพการณ์แวดล้อมว่า ในเดือนพ.ย. 2018 ที่ดัชเชสเมแกนตั้งครรภ์น้องอาร์ชีได้ 2-3 เดือน มีข้าราชบริพารและเจ้าหน้าที่ของเธอลาออก 3 รายรวด ซึ่งเป็นเลขานุการ 1 รายและผู้ช่วย 2 ราย
หนังสือชีวประวัติของเมแกน มาร์เคิล ที่เขียนโดย ทอม บาวเออร์ ผู้เชี่ยวชาญการพระราชวงศ์ระดับแถวหน้า เล่าเท้าความถึงกรณีดัชเชสเคทร้องไห้ว่า เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงใกล้วันเสกสมรสของเจ้าชายแฮร์รีกับนางเมแกน มาร์เคิล เมื่อเดือนพ.ค. 2018 แต่กว่าจะกลายเป็นข่าวหลุดออกสู่แวดวงสื่อมวลชน ก็คือในเดือนธ.ค. 2018 ซึ่งดัชเชสเมแกนตั้งครรภ์ได้ราว 2-3 เดือน
กล่าวคือ แม่ม่ายหย่าร้างชาวอเมริกันจะแหวกพระราชประเพณีการแต่งกายของเด็กถือดอกไม้ โดยจะไม่ให้มีการสวมถุงน่อง ด้านดัชเชสเคท (ซึ่งอาจจะมีพระราชวงศ์ผู้ใหญ่ขอให้ช่วยคุยกับว่าที่สะใภ้จากอเมริกันเพราะภาพจะออกมาไม่สมฐานะพระราชพิธี) ได้หารือขอให้เมแกนทบทวนเรื่องนี้ แต่เมแกนไม่ยอมถอยให้เลย
หนังสือของ ทอม บาวเออร์ เล่าว่าในการพูดคุยดังกล่าวมีเรื่องของความยาวกระโปรงของขบวนเด็กๆ ถือดอกไม้ด้วย และเจ้าหญิงชาร์ลอตต์ พระธิดาของปรินซ์วิลเลียมกับดัชเชสเคท ทรงเป็นหนึ่งในขบวนหนูน้อยถือดอกไม้
อย่างไรก็ตาม การคุยกันไม่ลงตัว แต่ไปลงเอยด้วยการที่เมแกนดึงเอา น้องอิสซาเบล (ลูกสาวของเพื่อนสนิทของเมแกนที่ตามมาจากอเมริกาเพื่อเป็นเพื่อนเจ้าสาว และน้องอิสซาเบลอยู่ในขบวนเด็กๆ ถือดอกไม้) เข้าไปในการโต้เถียง โดยพูดเปรียบเทียบเจ้าหญิงชาร์ลอตต์กับน้องอิสซาเบลด้วยถ้อยคำเชือดเฉือนใจว่า “เจ้าหญิงชาร์ลอตต์ทรงไม่น่าโปรดปรานเท่ากับน้องอิสซาเบล”
ดัชเชสเคทซึ่งอยู่ในภาวะหลังคลอดเจ้าชายหลุยส์ได้เพียง 2-3 สัปดาห์ ก็จะอ่อนไหวสะเทือนใจมากกว่าปกติ จึงทรงถึงจุดที่สุดจะอดทนและถึงกับน้ำตาร่วง
เหตุการณ์นี้มีผู้ที่รู้เห็นกันหลายคน หนังสือเรื่อง Revenge ของทอม บาวเออร์ เล่าอย่างนั้น แต่กว่าที่เรื่องราวจะหลุดไปถึงสื่อมวลชนคือ ในเดือนธ.ค. 2018 ซึ่งเป็นห้วงที่ดัชเชสเมแกนตั้งครรภ์แรกได้ประมาณ 2-3 เดือน และเหตุการณ์บาดหมางกับข้าราชบริพารก็ระอุทีเดียว
ประเด็นร้อนข้อนี้เป็นที่ล่วงรู้ของสื่อมวลชน จึงมีการขยี้ข่าวกันอย่างครึกโครม ทั้งข่าวบนเว็บไซต์และข่าวกระซิบบนโซเชียลมีเดีย ท่านผู้ชมจึงพลอยได้ทราบข้อมูลมากกว่าที่ปรากฏเป็นข่าว ปฏิกิริยาจากสาธารณชนจึงดุเดือดสุดๆ นานทีเดียวกว่าจะโรยตัวลง
ในเวลาต่อมา คือในเดือนมี.ค. 2019 ซึ่งดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ตั้งครรภ์ได้ราว 6-7 เดือน ก็มีความเคลื่อนไหวจากครอบครัวซัสเซกซ์ ที่ตอกย้ำความร้าวฉานระหว่างปรินซ์แฮร์รีกับปรินซ์วิลเลียม เมื่อดยุกและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ทำการแยกสำนักทรัพย์สินออกเป็นเอกเทศจากโครงสร้างเดิมซึ่งเป็นสำนักทรัพย์สินร่วมกับพระเชษฐา ดยุกวิลเลียมแห่งเคมบริดจ์
สื่อมวลชนวิเคราะห์กันเลยว่า เมื่อมีดัชเชสเมแกนเข้ามาในพระราชตระกูล พระอนุชาแฮร์รีก็เปลี่ยนไป และความแตกร้าวกับพระเชษฐาวิลเลียมนับวันแต่จะชัดเจนและรุนแรงมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่สาธารณชนที่ติดตามความเคลื่อนไหวของพระราชตระกูลมาเนิ่นนาน จะไม่แฮปปีกับความเปลี่ยนแปลงในทางไม่สร้างสรรค์
ท้องที่ 2 ของดัชเชสเมแกน แวดล้อมด้วยกรณีกล่าวร้ายพระราชตระกูลเรื่องตัดสิทธิ์พระอิสริยยศของน้องอาร์ชีและเรื่องเหยียดผิว ซึ่งเป็นช่วงที่ตั้งครรภ์น้องลิลีเบตได้ราว 6 เดือน
เดือนมี.ค. 2021 ซึ่งเป็นห้วงที่เจ้าหญิงลิลีเบตอยู่ในครรภ์ของดัชเชสเมแกนได้ประมาณ 6 เดือน เป็นช่วงที่ 2 ที่ดัชเชสบอกว่าถูกบูลลีบนอินเทอร์เน็ตอย่างโหดร้าย โดยเป็นผลจากการที่ดัชเชสทำให้สาธารณชนคนอังกฤษโกรธเคืองหนักมาก ด้วยการที่ไปให้สัมภาษณ์กล่าวร้ายต่อพระราชตระกูลวินด์เซอร์แบบออกโทรทัศน์ทั่วโลก
โดยเทปบันทึกสัมภาษณ์พิเศษที่ดัชเชสกับพระสวามีไปให้แก่รายการโอปราห์วินฟรีย์โชว์ อันเป็นโชว์ยอดนิยมของชาวโลก ถูกนำขึ้นออกอากาศอย่างครึกโครมในวันอาทิตย์ที่ 7 มี.ค. 2021
แม้เทปสัมภาษณ์นี้ได้กลายเป็นคลิปอื้อฉาวที่ถูกขนานนามว่าคลิปแฉพระราชวงศ์อังกฤษอย่างหมดเปลือก แต่ในเวลาต่อมา ก็จะทยอยมีการเฉลยข้อมูลที่แท้จริงในหลายๆ ประเด็น ซึ่งทำให้คลิปนี้กลายเป็นเพียงคลิปบิดเบือนข้อเท็จจริง
อาทิ กรณีที่เธอให้สัมภาษณ์ว่าน้องอาร์ชีไม่ได้พระอิสริยยศ เจ้าชาย เฉกเช่นพระราชปนัดดาทั้งหลายของควีนเอลิซาเบธ (คือ เจ้าหญิงชาร์ลอตต์กับเจ้าชายหลุยส์) เป็นเพราะอาร์ชีถูกเหยียดผิว เนื่องจากตัวเธอมีสายเลือดแอฟริกันจากทางมารดา
แต่ในวันรุ่งขึ้นสื่อมวลชนสำนักต่างๆ เช่น เดอะการ์เดียน พากันให้อรรถาธิบายว่าเรื่องนี้เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลที่กำหนดไว้ตั้งแต่ปี 1917 ส่วนสำหรับการที่เจ้าหญิงชาร์ลอตต์กับเจ้าชายหลุยส์ทรงได้รับพระอิสริยยศ เป็นผลจากที่ควีนเอลิซาเบธทรงแก้ไขกฎมณเฑียรบาลในส่วนของพระโอรสพระธิดาของปรินซ์วิลเลียม ซึ่งทรงเป็นว่าที่กษัตริย์ลำดับถัดจากเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์
เดอะการ์เดียน สื่อใหญ่ค่ายดังแห่งอังกฤษรายงานถ้อยคำของดัชเชส ในรายงานข่าววันจันทร์ที่ 8 มี.ค. 2021 ว่า
“มันไม่ใช่สิทธิ์ของพวกเขาที่จะเอาพระอิสริยศของน้องอาร์ชีออกไป ในหลายๆ เดือนที่ดิฉันตั้งครรภ์น้องอาร์ชี มีการสนทนากันว่าน้องจะไม่ได้รับการอารักขาคุ้มครอง เพราะน้องจะไม่ได้พระอิสริยยศเจ้าชาย
“และก็มีการพูดกังวลใจกันว่าผิวของน้องอาร์ชีอาจจะดำแค่ไหนเมื่อน้องคลอดออกมา”
ผลกระทบจากตรงนี้ ทำให้พระราชวงศ์อังกฤษได้รับความเสียหายอย่างหนัก เพราะถูกโจมตีว่า มีโลกทัศน์เหยียดผิว เป็นเรสซิสต์
หลายเดือนต่อมา ได้มีเฉลยให้เห็นการบิดเบือนในประเด็นเหยียดผิว กล่าวคือ
พอมาถึงเดือนพ.ย. 2021 นักเขียนชีวประวัติพระราชวงศ์ นามว่า คริสโตเฟอร์ แอนเดอร์เซน ให้เฉลยเรื่องนี้ไว้ในหนังสือเรื่อง Brothers And Wives: Inside The Private Lives of William, Kate, Harry and Meghan (พระเชษฐาและอนุชากับพระชายา: เบื้องลึกแห่งชีวิตส่วนพระองค์แห่งปรินซ์วิลเลียม ดัชเชสเคท ปรินซ์แฮร์รี และดัชเชสเมแกน) และสกู๊ปของสื่อหัวสีค่ายเพจซิกซ์นำขึ้นรายงานให้อ่านกันเมื่อ 28 พ.ย. 2021 ดังนี้
ในวันที่ 27 พ.ย. 2017 มีการประกาศข่าวหมั้นหมายระหว่างปรินซ์แฮร์รีกับนางเมแกน มาร์เคิล ให้สาธารณชนทราบกันตั้งแต่เวลาตี 5 หลังจากนั้นสองสามชั่วโมง เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ซึ่งประทับนั่งที่โต๊ะเสวยกับพระชายาคามิลลา ตรัสถามพระชายา “ผมสงสัยว่าลูกๆ ของสองคนนี้จะหน้าตาเป็นอย่างไร”
พระชายาคามิลลาทรงตอบว่า “ต้องงดงามน่ารักอย่างที่สุดเพคะ หม่อมฉันมั่นใจ”
เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ทรงลดระดับเสียงลง ถามต่อเบาๆ “ผมหมายความว่า คุณคิดว่าผิวพรรณของลูกๆ ของสองคนนี้จะเป็นอย่างไร”
แอนเดอร์เซนได้รับฟังมาจากแหล่งข่าวซึ่งใกล้ชิดเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ทีเดียว อย่างไรก็ตาม แม้เรื่องเล่านี้จะเผยแพร่ออกมาหลังเหตุการณ์การให้สัมภาษณ์แก่โอปราห์ วินฟรีย์ แต่แอนเดอร์เซน มิได้บอกว่าเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์คือพระราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ที่ดัชเชสเมแกนเอ่ยถึงในรายการโอปราห์ วินฟรีย์ โชว์
ในการนี้ แอนเดอร์เซนชี้ว่าคำถามดังกล่าวของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์เป็นคำถามแบบทั่วๆ ไปที่พ่อแม่พูดถึงลูกๆ แต่ก็ได้เกิดการบิดถ้อยคำจนเลยเถิดไปถึงขั้นที่ว่า ‘น้องอาร์ชีอาจจะเกิดมาตัวตำแค่ไหน’
(อ่านเพิ่มเติมได้โดยค้นคว้าบนอินเทอร์เน็ตด้วยคำพาดหัวเรื่องว่า Book: Prince Charles questioned complexion of Harry and Meghan’s baby โดย Christopher Andersen)
การที่จะรีเทิร์นสู่พระราชตระกูลอังกฤษ ยังไร้วี่แววแนวโน้มจะสำเร็จ เพราะความพยายามรีแบรนด์และสร้างภาพลักษณ์ใหม่ยังไม่ส่งอานิสงส์ หนำซ้ำถูกสกัดดาวรุ่งจากดรามาพระพลานามัยของเจ้าหญิงเคท
การพูดบนเวทีวันสตรีสากลที่ดัชเชสเมแกนถูกตีความว่า มุ่งโปรโมทบทบาทนักต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีที่เคยเป็นมาในอดีต และมุ่งเรียกคะแนนสงสาร นั้น ประสบกับคอมเมนต์เกือบ 6 พันเมนต์ที่วิจารณ์เธออย่างดุเดือดสะท้านสะเทือน ปรากฏการณ์นี้จึงกลายเป็นตัวชี้วัดว่าหลังจากดำเนินกิจกรรม “ดัชเชสใจบุญ - ดัชเชสนักสิทธิสตรี” ไปตามสูตรสำเร็จเพื่อการรีแบรนด์แล้ว ผลก็ออกมาว่า ผู้คนไม่ได้ลืมเรื่องราวร้ายๆ ของเธอและปรินซ์แฮร์รี อีกทั้งยังไม่เชื่อในภาพลักษณ์ใหม่ของเธอ
แต่สำหรับบนพื้นที่ข่าวแล้ว กระแสข่าวที่เกี่ยวกับตัวเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องราวของเธอที่เล่าไว้บนเวทีวันสตรีสากล กลายเป็นประเด็นฮือฮามากมายตลอดตั้งแต่วันที่ 8-10 มี.ค. บนเว็บข่าวและบนหน้าหนังสือพิมพ์ อย่างที่ต้องยอมรับฝีมือของทีมพีอาร์ฟ้าประทานที่เธอจ้างไว้
อย่างไรก็ตาม กระแสข่าวเหล่านี้ดับสนิทไปในสัปดาห์ถัดมา คือวันที่ 11-13 มี.ค. เมื่อผู้คนตกใจและว้าวุ่นหนักมากว่า พระรูปของเจ้าหญิงเคทกับลูกๆ ที่นำขึ้นโซเชียลมีเดียในวันแม่ของสหราชอาณาจักร 10 มี.ค. นั้น เป็นภาพที่มีการตัดต่อแก้ไขมากกว่า 18 จุด
ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าทีมพีอาร์ของดัชเชสเมแกนจะสามารถแก้เกมได้บ้าง โดยการโหนกระแสดรามาพระพลานามัยเจ้าหญิงเคท แต่ก็ได้พื้นที่ข่าวไปเล็กน้อย
ในการนี้ กว่าที่จะสามารถแบ่งพื้นที่ข่าวได้เป็นเรื่องเป็นราว ก็ต้องทิ้งระยะไปถึงวันที่ 14 มี.ค. อันเป็นวันที่ปรินซ์วิลเลียมทรงประทานรางวัลการสืบทอดเจตนารมณ์เจ้าหญิงไดอานา ให้แก่บุคคลผู้อุทิศตนเพื่อผู้ด้อยโอกาสในสังคม
กลยุทธ์ที่ชาวคณะซัสเซกซ์หยิบขึ้นใช้ คือ การขโมยซีนเพื่อดึงดูดความสนใจของประชาชนออกจากข่าวของปรินซ์วิลเลียม
ในการนี้ ในเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงก่อนพิธีแจกรางวัลของปรินซ์วิลเลียมจะเริ่มขึ้น ดัชเชสเมแกนทำการเปิดตัวธุรกิจใหม่ของเธอ ที่จะขายหม้อบ้าง กระทะบ้าง ถ้วยชามช้อนส้อม ตลอดจนบรรดาเครื่องใช้ในครัวในห้องรับประทานอาหาร อีกทั้งอาหารการกิน เช่น แยมพรีเมียม อันเป็นแนวของผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์กลุ่มสวย รวย แพง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภาพลักษณ์ใหม่ของเธอ อันได้แก่
การเป็นสมาชิกพระราชวงศ์ ผู้มีความสุขและเพลิดเพลินกับการแต่งกายงามหรู ขณะทำงานบ้านงานครัวและให้อาหารเจ้าสุนัขน่ารัก โดยเคลื่อนไหวในท่ามกลางเครื่องใช้เลอเลิศยี่ห้อ American Riviera Orchard แบรนด์ใหม่เอี่ยมของเธอนั่นเอง
รีวิวที่เธอได้รับนั้นไม่สู้ดีเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในประเด็นกลยุทธ์ขโมยซีนป่วนพิธีที่เกี่ยวข้องอยู่กับพระมารดาไดอานาของปรินซ์วิลเลียม ซึ่งถูกวิจารณ์ว่ายังไม่เลิกราวีพระราชตระกูลอังกฤษ อีกทั้งยังถูกวิจารณ์ว่าเอาความเป็นพระราชวงศ์มาทำให้กลายเป็นพาณิชยกรรม อันเป็นสิ่งที่ควีนเอลิซาเบธทรงระมัดระวังไม่ให้พระราชโอรสพระราชธิดา พระราชนัดดา และพระราชปนัดดา ดำเนินการเยี่ยงนี้
แต่ที่สำคัญคือ เว็บไซต์และอินสตาแกรมเพื่อการโปรโมทสินค้ายี่ห้อ American Riviera Orchard ของเธอนั้น ยังไม่มีอะไรเลยนอกจากผ้าเช็ดปากสวยๆ 1 ผืน ที่ปักอักษรย่อ H(arry) กับ M(eghan) หรือก็อาจเป็น His Majesty ก็ยังได้ อันงดงามของปรินซ์แฮร์รีกับตัวเธอ
ซึ่งก็คือความร้อนรนที่จะเข็นคลิปเปิดตัวธุรกิจขายสินค้าใหม่ออกไปขโมยซีน โดยที่ยังไม่มีสินค้าที่จะประกาศขาย
ช็อตต่อๆ ไปที่ต้องจับตาคือ หลังจากที่นำเสนอภาพลักษณ์ใหม่แห่งชีวิตดัชเชสเดินสวยๆ เข้าครัวในฝัน ทีมพีอาร์ของดัชเชสเมแกนจะเคลื่อนไหวอย่างไร เพราะกระแสที่เกี่ยวข้องกับดรามาเจ้าหญิงเคทยังปรากฏด้วยแง่มุมต่างๆ ได้อย่างต่อเนื่อง ไม่มีแผ่ว
ทั้งนี้ ดูทรงของแผนรณรงค์อัดฉีดภาพลักษณ์ใหม่ของแบรนด์ซัสเซกซ์ สู่การรับรู้และยอมรับของสาธารณชน ยังไม่เห็นวี่แววในทางบวก
ในเวลาเดียวกัน ในส่วนของการขอเสียงต้อนรับจากพสกนิกรชาวเมืองผู้ดี ต่อความพยายามกลับอังกฤษไปเป็นสมาชิกพระราชวงศ์พาร์ทไทม์ (แบบว่าอยู่อังกฤษ 6 เดือน ออกไปทำมาหากินในสหรัฐฯ ภายใต้หัวโขนพระองค์เจ้าจากวินด์เซอร์ 6 เดือน) นั้น มีแต่จะต้องเผชิญกับเสียงประณามบนพื้นที่คอมเมนต์ข่าว ตลอดจนการวิพากษ์ตรงๆ แรงๆ จากสื่อมวลชน
ประเภทว่า “อยู่ห่างๆ จากอังกฤษเถอะนะ เมแกน ... คุณไม่เป็นที่ต้อนรับในประเทศนี้” โดยคอลัมนิสต์คนดังของเดลิเมลออนไลน์ นามว่า อแมนดา พลาเทลล์
ในการนี้ ต่อให้ปรินซ์แฮร์รีและดัชเชสเมแกน ยอมออกปากขออภัยพระราชวงศ์อังกฤษทุกพระองค์ สำหรับเรื่องร้ายกาจทั้งปวงในรอบ 5-6 ปีที่ผ่านมา ก็อาจจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงวี่แววแนวโน้มได้ ในเมื่อภาพลักษณ์ที่ติดตรึงลงไปถึงจิตใต้สำนึกของผู้คน คือ ทั้งสองพระองค์ไว้ใจไม่ได้ และมุ่งแค่จะทำความดีแบบเฉพาะกิจเพื่อแสวงประโยชน์ส่วนตัว
กลยุทธ์การรอดูทิศทางลมน่าจะถูกนำมาใช้ โดยที่เป้าหมายแห่งการกลับเข้าสู่แวดวงพระราชวงศ์วินด์เซอร์ ก็ต้องหาจังหวะขับเคลื่อนกันไป
อาทิ การง้อขอคืนดีกับพระเชษฐาวิลเลียมและพระเชษฐนีเคท ซึ่งได้ดำเนินการไปแล้วตั้งแต่ค่ำคืนของศุกร์ 22 มี.ค. โดยการโหนกระแสสังคมที่ส่งกำลังใจล้นหลามถวายแด่เจ้าหญิงเคท สืบเนื่องจากการที่พระองค์ทรงพระประชวรด้วยโรคมะเร็ง
ท่านผู้ชมน่าจะได้เห็นมุกใหม่ๆ น่ารักๆ ของดยุกและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ ในการง้อขอคืนดีกับสมาชิกพระราชวงศ์ ในเมื่อทั้งสองพระองค์จำเป็นอย่างยิ่งที่จะหาทางออกให้แก่ปัญหาสถานการณ์ทางการเงินไม่สู้ดี และแนวโน้มปัญหาเรื่องวีซาของปรินซ์แฮร์รี อาจใกล้จะถึงจุดวิกฤตแล้ว
ในระหว่างนี้ ดัชเชสเมแกนก็คงจะพยายามขายผลิตภัณฑ์หม้อโถไฮโซ เพื่อสร้างธุรกิจใหม่ไปพลางก่อน
คอลัมน์ PLANET No.3
โดย รัศมี มีเรื่องเล่า
(ที่มา: เดลิเมลออนไลน์ เพจซิกซ์ ทาวน์แอนด์คันทรี ดิเอ็กซ์เพรซ เดอะฮอลลีวูด รีพอร์ตเตอร์ จีบีนิวส์ เดอะซัน เดลิมิร์เรอร์ สกายนิวส์ออสเตรเลีย ซีเอ็นเอ็น ยูเอสแมกกาซีน เดลิเอ็กซ์เพรส ยูเอส เดอะการ์เดียน)