รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในวันพุธ (20 มี.ค.) ปรับลดเป้าหมายสำหรับการกำหนดสัดส่วนรถยนต์ไฟฟ้าที่วางขายในสหรัฐฯ ในปี 2032 จากระดับ 67% เหลือเพียงแค่ 35% หลังจากถูกกระแสตีกลับจากทั้งภาคอุตสาหกรรมและเหล่าคนงานด้านยานยนต์ ในรัฐสมรภูมิทางการเมืองอย่างมิชิแกน
สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐฯ (EPA) ต้องหันมาใช้แผนกฎระเบียบหนึ่งเกี่ยวกับ "ความเป็นกลางทางเทคโนโลยี" ที่เปิดทางให้บรรดาผู้ผลิตรถยนต์มีเสรีภาพมากกว่าเดิมมากกับรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด ในการทำตามมาตรฐานควบคุมการปล่อยมลพิษ ที่พวกอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมจำนวนมากคัดค้าน เนื่องจากมองว่ามาตรการครึ่งๆ กลางๆ เช่นนี้จะก่อความล่าช้าในการเปลี่ยนผ่านสู้รถอีวี
นอกจากนี้ ทางสำนักงานยังอ้าแขนรับเทคโนโลยีเบนซินล้ำสมัยที่ช่วยประหยัดพลังงาน อย่างเช่นเทอร์โบชาร์จเจอร์ รถยนต์ขนาดเล็กหรือระบบเปิดปิดระบบการทำงานของเครื่องยนต์ (stop-start ignition systems)
อย่างไรก็ตาม ไมเคิล เรแกน ผู้บริหารของสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐฯ บอกกับผู้สื่อข่าว ยอมรับว่ากฎระเบียบใหม่จะไม่บรรลุเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจะแบบเดียวกับข้อเสนอดั้งเดิมของทาง EPA ที่มุ่งเน้นสู่การเปลี่ยนผ่านสู่รถอีวีในเชิงรุกมากกว่า
"ผมขอพูดให้ชัดเจน ท้ายที่สุดแล้วเราก็คลอดกฎระเบียบออกมาเหมือนกัน แม้มันไม่ลดมลพิษมากกว่า" เขากล่าว "เรากำหนดมาตรฐานต่างๆ สำหรับความเป็นกลางทางเทคโนโลยีและบนพื้นฐานของสมรรถนะ เพื่อเปิดทางให้บรรดาผู้ผลิตทั้งหลายมีความยืดหยุ่นในการเลือก ซึ่งบรรดาผู้ผลิตจะผสมผสานเทคโนโลยีการควบคุมมลพิษต่างๆ ให้เหมาะสมที่สุด เพื่อลูกค้าของพวกเขา"
EPA บอกว่ากฎระเบียบนี้จะปรับลดการปล่อยก๊าซมลพิษจากระดับของปี 2026 ได้ราว 49% ภายใน 2032 ขณะที่ภายใต้ข้อเสนอเดิมเมื่อปีที่แล้ว คาดหมายว่าจะสามารถลดการปล่อยก๊าซมลพิษได้ถึง 56% ในช่วงเวลาเดียวกัน
ข้อเสนอปรับกฎระเบียบของ EPA สะท้อนถึงแรงบีบรัดทางการเมืองที่ ไลเดน กำลังเผชิญระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งกลับมาดำรงตำแหน่งอีกสมัย โดยทั้งไบเดน และโดนัลด์ ทรัมป์ คู่แข่งจากรีพับลิกัน ท้องถนนสู่ทำเนียบขาวจะต้องฟันฝ่ารัฐมิชิแกนและรัฐอุตสาหกรรมอื่นๆ อย่างเช่นวิสคอนซินและเพนซิลเวเนีย ดินแดนที่พวกแรงงานเกรงว่าการเปลี่ยนผ่านสู่รถอีวี อาจคุกคามหน้าที่การงานของพวกเขา ในขณะที่ ทรัมป์ เน้นย้ำจุดยืนคัดค้านการเปลี่ยนผ่านสู่รถอีวี
แม้กฎระเบียบใหม่จะเบาลงกว่าข้อเสนอเดิม แต่กระนั้นมันจะบังคับลดมลพิษลงอย่างมาก โดย EPA ระบุว่าแผนการนี้จะปรับลดมลพิษจากท่อไอเดียลง 50% จากระดับของปี 2026 และลดมลพิษก๊าซเรือนกระจกจนถึงปี 2055 ได้ 7,200 ล้านตัน
สัดส่วนเป้าหมายการใช้รถอีวีของ EPA ไม่ได้เป็นการบังคับ แต่เป็นการคาดการณ์ต่อกรณีที่บรรดาผู้ผลิตรถยนต์ทั้งหลายจะเปลี่ยนแปลงรถยนต์ต่างๆ ของพวกเขาเพื่อให้ได้มาตรฐานตามกฎระเบียบที่วางเอาไว้
ทั้งนี้ การคาดการณ์ในวันพุธ (20 มี.ค.) มีขึ้นท่ามกลางการประมาณการสัดส่วนยอดขายรวมระหว่างปี 2030 ถึง 2032 อยู่ที่ราว 35% ถึง 56% สะท้อนจุดยืนของบรรดาผู้ผลิตรถยนต์ทั้งหลายที่เน้นย้ำว่าจะมีความยืดหยุ่นในการเสาะแสวงหาเทคโนโลยีลดมลพิษที่ต่างกันออกไป
อย่างไรก็ตาม กฎระเบียบใหม่นี้อาจเป็นสิ่งที่พูดง่ายแต่ทำได้ยาก สำหรับบรรดาผู้ผลิตรถยนต์ทั้งหลาย สืบเนื่องจากปัจจุบันยอดการใช้งานรถอีวีและรถไฮบริดยังคงอยู่ในระดับต่ำในสหรัฐฯ โดยเมื่อปีที่แล้ว รถอีวีคิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 8% ของรถยนต์ที่ขายได้ในสหรัฐฯ ส่วนรถไฮบริด ในนั้นรวมถึงปลั๊ก-อิน ไฮบริด มียอดขายคิดเป็นสัดส่วนแค่ราว 9%
กระนั้นจากข้อมูลพบว่ายอดขายรถไฮบริด เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ท่ามกลางชะลอตัวของอุปสงค์รถอีวี บ่งชี้ว่ากฎระเบียบใหม่อาจกระตุ้นการเฟื่องฟูของรถไฮบริด
(ที่มา : รอยเตอร์)