เอเอฟพี/เอเจนซีส์/รอยเตอร์/MGRออนไลน์ - เพนตากอนวันจันทร์ (18 มี.ค.) แถลงว่า รัฐบาลรัฐประหารไนเจอร์วันเสาร์ (16 มี.ค.) ประกาศยกเลิกข้อตกลงทางการทหารกับสหรัฐฯ ให้กองกำลังทหารสหรัฐฯ 1,000 นายต้องเดินทางออกนอกประเทศมีผลทันที หลังสัปดาห์ที่แล้วทีมเจ้าหน้าที่ระดับสูงรัฐบาลประธานาธิบดี โจ ไบเดน เตือนให้ระวังความสัมพันธ์กับรัสเซียและอิหร่าน
เอเอฟพีรายงานวันนี้ (18 มี.ค.) ว่า สหรัฐฯ กลายเป็นประเทศตะวันตกชาติที่ 2 ตามหลังฝรั่งเศสที่รัฐบาลรัฐประหารไนเจอร์ขีดเส้นตายให้ออกนอกประเทศหลังคำประกาศในวันเสาร์ (16) และเป็นคำสั่งที่มีผลบังคับใช้ทันทีท่ามกลางการแผ่อิทธิพลในดินแดนทวีปแอฟริกาทั้งรัสเซียและจีน
สหรัฐฯ ในวันจันทร์ (18) ออกมาชี้ว่า ฝ่ายอเมริกายังคงรอการขยายความในความชัดเจนถึงคำประกาศยกเลิกข้อตกลงความร่วมมือของรัฐบาลรัฐประหารไนเจอร์ พร้อมเปิดเผยว่าความร่วมมือทางทหารระหว่างกันเป็นผลประโยชน์ร่วม ซึ่งไนเจอร์เป็นฐานปฏิบัติการโดรนของสหรัฐฯ
ทั้งนี้ คำประกาศยุติความร่วมมือซึ่งมีทหารสหรัฐฯ จำนวน 1,000 นายประจำอยู่เกิดขึ้นหลังคณะผู้แทนระดับสูงของรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน เดินทางไปเยือนไนเจอร์สัปดาห์ที่แล้วเป็นเวลา 3 วันพร้อมกับแสดงข้อวิตกกังวลออกมา
เอเอฟพีชี้ว่า คณะผู้แทนนำโดยผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ (Assistant Secretary of State) ฝ่ายกิจการแอฟริกา มอลลี ฟี (Molly Phee) เดินทางกลับออกมาจากกรุงนีอาเมย์ในวันพฤหัสบดี (14) หลังจากพบเจ้าหน้าที่ระดับสูงไนเจอร์และนายกรัฐมนตรีไนเจอร์ แต่ไม่ได้พบหัวหน้าคณะรัฐประหารไนเจอร์ นายพล อับดุลราห์มาน ทะเชียนิ แหล่งข่าวทางการทูตเปิดเผย ซึ่งตามกำหนดเดิมเป็นการเยือนนาน 2 วัน แต่ขยายเพิ่มเป็นอีก 1 วันหลังจากนั้น
เดอะฮิลล์ของสหรัฐฯ รายงานว่า เพนตากอนออกมาเปิดเผยวันจันทร์ (18) ถึงเบื้องหลังไนเจอร์ประกาศยกเลิกข้อตกลงทางการทหารกับสหรัฐฯ เกิดขึ้นหลังฝ่ายคณะผู้แทนได้เตือนไนเจอร์ถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัสเซียและอิหร่านในระหว่างการเยือน
โดยโฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ แถลงว่า เจ้าหน้าที่รัฐบาลไบเดนรู้เรื่องนี้ (การยกเลิกข้อตกลง) และกำลังทำงานผ่านช่องทางการทูตเพื่อดูความชัดเจน
ทั้งนี้ วอลล์สตรีทเจอร์นัลเปิดเผยว่า รัฐบาลไบเดนได้แสดงความวิตกว่า ไนเจอร์อาจใกล้บรรลุข้อตกลงเพื่อเปิดทางให้อิหร่านสามารถเข้าถึงแร่ยูเรเนียมของตัวเอง
ทั้งนี้ สหรัฐฯ ใช้เงินสูงถึง 110 ล้านดอลลาร์เมื่อ 6 ปีก่อนหน้าสำหรับฐานที่ตั้งโดรนทางตอนเหนือของไนเจอร์ ซึ่งการปรากฏตัวของกองกำลังสหรัฐฯ ในไนเจอร์นั้นไม่มั่นคงมาตั้งแต่ไนเจอร์เกิดรัฐประหารเมื่อปลายกรกฎาคมปีที่แล้วโดยฝีมือนายพลอับดุลราห์มาน ทะเชียนิ ตำแหน่งหัวหน้าหน่วยอารักขาประธานาธิบดีมุฮัมมัด บาซูม และในช่วงการรัฐประหารและบีบให้ฝรั่งเศสเจ้าอาณานิคมเดิมต้องถอนกำลังออกและปิดสถานทูตตัดความสัมพันธ์ทุกช่องทางจากการได้เห็นประชาชนชาวไนเจอร์ที่สนับสนุนการทำรัฐประหารต่างโบกธงชาติรัสเซียอย่างคึกคัก
ธิงแทงก์อเมริกันไม่แสวงหาผลกำไร The Soufan Center หรือ TSC ที่มีฐานอยู่ในเมืองนิวยอร์ก สหรัฐฯ เคยรายงานว่า การประชุม Russia-Africa summit ที่เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ในปี 2023 ซึ่งมีอดีตผู้ก่อตั้งกลุ่มวากเนอร์ เยฟเกนี ปรีโกจีน (Yevgeny Prigozhin) นั้นปรากฏตัวให้เห็นก่อนเสียชีวิตภายในปีเดียวกัน
งาน Russia-Africa summit ปี 2023 พบว่ามีผู้นำชาติแอฟริกันบินเข้าร่วมที่เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กทั้งหมด 16 คน และผู้แทนอีก 49 คนบินร่วม หนึ่งในที่น่าจับตาคือ ไม่ปรากฏประธานาธิบดีมุฮัมมัด บาซูม อดีตผู้นำไนเจอร์ที่มีความใกล้ชิดกับชาติตะวันตกเข้าร่วม
แต่ทว่าสปุตนิกของรัสเซียรายงานเมื่อวันที่ 16 ม.ค.ต้นปีนี้ว่า นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของไนเจอร์คือ อาลี มาฮามาน ลามีน ไซนี พร้อมคณะเดินทางมาเยือนกรุงมอสโก โดยมีเป้าหมายเพื่อกระจายความเป็นพันธมิตรของไนเจอร์ทั้งด้านการป้องกันประเทศ พลังงาน สาธารณสุข หรือการเกษตร
ตามการรายงานพบว่าเครื่องของผู้นำไนเจอร์ออกบินไปเยือนเซอร์เบีย ตุรกี และอิหร่าน
รอยเตอร์รายงานเพิ่มเติมว่า การมาเยือนครั้งนั้นไนเจอร์ภายใต้รัฐบาลรัฐประหารและรัสเซียเล็งเพิ่มความร่วมมือทางการทหารและการพลังงานให้แนบแน่นโดยรัฐมนตรีกลาโหมของแต่ละฝ่ายได้พบปะหารือความร่วมมือเพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพของภูมิภาค